นายวิริทธิ์พล จุไรสินธุ์ ผู้อำนวยการสายงานการเงินและบัญชี บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ PRM ผู้ให้บริการขนส่งและจัดเก็บผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และปิโตรเคมีเหลวทางเรือรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปีนี้ แม้ยังคงมีความท้าทายเชิงการบริหารจัดการพอร์ตกองเรือเพื่อรับมือกับสถานการณ์ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น จากความเสี่ยงทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันที่มีความผันผวน แต่บริษัทฯ ยังคงสร้างโอกาสการเติบโตจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวภายในประเทศเพิ่มขึ้น อันส่งผลดีต่อความต้องการการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงทุกประเภทให้ปรับตัวสูงขึ้น โดยบริษัทฯ นำข้อได้เปรียบเชิงการแข่งขันในฐานะที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมที่มีพอร์ตกองเรือหลากหลายและการบริหารจัดการที่มีความยืดหยุ่น รวมทั้งสามารถปรับพอร์ตกองเรือให้สอดคล้องกับทิศทางของตลาดได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี ทั้งหมดนี้นำมาซึ่งความสำเร็จของผลการดำเนินงานทั้งปี โดยคาดว่าจะสร้างการเติบโตได้ตามแผนที่วางไว้
ทั้งนี้ การลงทุนในเชิงยุทธศาสตร์ของ PRM ที่ผ่านมา เป็นอีกหนึ่งปัจจัยความสำเร็จที่ช่วยขับเคลื่อนผลการดำเนินงานของ PRM ให้เข้าสู่ยุค Growth Mode นับตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565 จากการใช้ศักยภาพการดำเนินธุรกิจอันแข็งแกร่งเพื่อให้บริการแก่ลูกค้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ส่งผลให้ทุกกลุ่มธุรกิจขยายตัวได้อย่างโดดเด่น โดยกลุ่มธุรกิจเรือขนส่งปิโตรเลียมระหว่างประเทศได้ให้บริการเรือ VLCC ขนาด 300,000 DWT จำนวน 3 ลำ แก่กลุ่มไทยออยล์ภายใต้สัญญาระยะยาว 10 ปี และกลุ่มธุรกิจ Offshore Support ได้ให้บริการเรือ Crew Boat จำนวน 13 ลำ และเรือ AWB อีกจำนวน 2 ลำ แก่กลุ่ม ปตท.สผ. ภายใต้สัญญา Time Charter ซึ่งสอดรับกับกิจกรรมสำรวจและผลิตน้ำมันปิโตรเลียมในอ่าวไทยที่กำลังขยายตัว ทำให้ในปัจจุบันมีอัตราการใช้เรือเต็ม 100% ขณะที่กลุ่มธุรกิจเรือขนส่งภายในประเทศ ได้รับปัจจัยเชิงบวกจากบรรยากาศการท่องเที่ยวภายในประเทศที่ฟื้นตัวขึ้น ซึ่งส่งผลให้มีอัตราการใช้เรือขนส่งปิโตรเลียมเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เช่นเดียวกับกลุ่มธุรกิจเรือ FSU ที่มีอัตราการใช้เรือปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน
ผู้อำนวยการสายงานการเงินและบัญชี PRM กล่าวว่า บริษัทฯ เตรียมแผนการขยายกองเรือเพิ่มเติมใน 2 กลุ่มธุรกิจ โดยธุรกิจแรกคือกลุ่มเรือขนส่งปิโตรเคมี เพื่อรองรับการขยายตัวของของความต้องการใช้ปิโตรเคมีซึ่งเป็นวัตถุดิบต้นน้ำในหลายอุตสากรรม ซึ่งมีแนวโน้มที่อุปสงค์ (Demand) เพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และกลุ่มธุรกิจที่สองคือ ธุรกิจเรือ Offshore Support ซึ่งแนวโน้มความต้องการใช้เรือกลุ่มนี้ยังคงมีอยู่ในระดับสูง สอดคล้องกับกิจกรรมการสำรวจและผลิตน้ำมันในอ่าวไทยที่กำลังขยายตัว โดยล่าสุดบริษัทฯ ยังได้ลงนามซื้อเรือขนส่งปิโตรเคมีเพิ่มเติมอีก 1 ลำ เพื่อรองรับกับโอกาสทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้นจากสภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของ PRM ในปีหน้าภายใต้ธีม Growth Mode อย่างแข็งแกร่งต่อไป
ที่มา: เอ็ม ที มัลติมีเดีย