นางสาวโจฮานนา ชัว หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและตลาดภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ประจำซิตี้กรุ๊ป กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในปี 2566 คาดการณ์เติบโต GDP ที่ 4.4% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 3.5% ในปี 2565 แม้มีปัจจัยที่อาจส่งผลให้เกิดความเปราะบาง อาทิ สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ความขัดแย้งระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา หรือการพุ่งขึ้นของราคาสินค้า แต่คาดว่าเศรษฐกิจในภูมิภาคจะมีการฟื้นตัวและเติบโตอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลจากการสิ้นสุดของปรับนโยบายการเงินให้เข้มงวดขึ้นในประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลกในปี 2566 รวมถึงธนาคารกลางสหรัฐ อีกทั้งการอ่อนค่าของค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ในครึ่งปีหลังของปี 2566 จะช่วยลดความกดดันของธนาคารกลางในแต่ละประเทศ ขณะที่การเปิดประเทศจีนในครึ่งหลังของปี 2566 แม้ไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจภายในภูมิภาค แต่อาจทำให้สถานการณ์เงินเฟ้อในประเทศเศรษฐกิจของอาเซียนอย่างสิงคโปร์ เวียดนาม และไทย กินระยะเวลานานขึ้น
นางสาวโจฮานนา กล่าวเสริม สำหรับแนวโน้มการลงทุนและการค้าระหว่างประเทศในปี 2566 ว่าซิตี้แบงก์คาดการณ์ว่าจะมีการชะลอตัวนำโดยกลุ่มเทคโนโลยีจนถึงช่วงกลางปี 2566 ก่อนฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปในลักษณะ U-shape ในครึ่งหลังของปี นอกจากนี้ ยังเล็งเห็นแนวโน้มการลงทุนที่ค่อนข้างมาแรงของสองประเทศในภูมิภาคที่น่าจับตามอง ได้แก่ อินเดีย และ อินโดนีเซีย โดยอินเดียจะมีการลงทุนเพิ่มขึ้นในปีงบประมาณ 2566 รวมถึงอัตรากำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น และการลงทุนตรงจากต่างประเทศที่สูงเป็นประวัติการณ์ ส่วนฝั่งของอินโดนีเซียคาดว่าจะเห็นการลงทุนจากต่างประเทศเข้าสู่ห่วงโซอุปทานของอุตสาหกรรมโลหะคาร์บอนต่ำและแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า
ด้าน นางสาวนลิน ฉัตรโชติธรรม นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจประเทศไทยในปี 2566 มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง หลังการเปิดประเทศเต็มรูปแบบมากขึ้น โดยยังคงประมาณการการเติบโตของ GDP ที่ 4.3% ซึ่งมาจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวเป็นสำคัญ โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวราว 23 ล้านคน ในปี 2566 เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ที่ประมาณ 10.1 ล้านคน นอกจากนี้ ยังจะได้แรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายภาคครัวเรือนจากการฟื้นตัวของรายได้ภาคบริการ ภาคการส่งออกมีแนวโน้มชะลอตัว ซึ่งอาจกระทบการลงทุนภาคเอกชนบ้าง แต่คาดว่ากการลงทุนยังมีแรงหนุนจากแผนพัฒนาระยะยาวของธุรกิจกลุ่ม BCG ที่ได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐ และโครงการ EEC
สำหรับดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2566 คาดการณ์ว่าจะพลิกกลับมาเกินดุลประมาณ 3.8% ของ GDP แม้ภาคการส่งออกจะชะลอตัว แต่ยังได้อานิสงค์จากรายได้ภาคการท่องเที่ยว รายจ่ายค่าขนส่งในดุลบริการที่ลดลง และการขาดดุลการค้าที่มีแนวโน้มลดลงจากการนำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีราคาลดลง
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยอาจยังคงเผชิญความเสี่ยงจากเงินเฟ้ออยู่บ้าง หากราคาพลังงานปรับสูงขึ้น แม้ว่าซิตี้คาดการณ์ (base case) ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะปรับลดลงมาเฉลี่ยอยู่ที่ 2.5% ในปี 2566 พร้อมทั้งซิตี้คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 2.25% ภายในไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 ซึ่งการปรับอย่างค่อยเป็นค่อยไป ในสภาวะที่สภาพคล่องของเงินภายในประเทศยังอยู่ในระดับสูง น่าจะช่วยลดผลกระทบต่อธุรกิจและครัวเรือน อย่างไรก็ดี หากการขยายตัวของเศรษฐกิจอ่อนแอกว่าที่คาดไว้ ฐานะการคลังของประเทศไทยยังคงพอมีพื้นที่เหลือสำหรับการประคองหรือกระตุ้นเศรษฐกิจได้บ้าง นางสาวนลิน กล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย ได้จัดงาน All Star Analyst Day 2022 อัปเดตข้อมูลทิศทางเศรษฐกิจและการลงทุน สำหรับลูกค้ากลุ่มองค์กรและสถาบัน เมื่อเร็ว ๆ นี้ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย หรือ www.citibank.co.th
ที่มา: เจซีแอนด์โค คอมมิวนิเคชั่นส์