อาจกล่าวได้ว่า อาจารย์ ดร.ยุทธพร นาคสุข เป็นกำลังสำคัญคนหนึ่งในการอนุรักษ์ภาษาและวัฒนธรรมของชาวไทยยวนในเขตภาคกลางของประเทศ ด้วยเหตุนี้จึงได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติในฐานะผู้มีคุณูปการต่อการใช้ภาษาไทย เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ พุทธศักราช 2563
ชาวไทยยวนในเขตภาคกลางมีบรรพบุรุษอพยพมาจากเมืองเชียงแสนเมื่อสองร้อยกว่าปีมาแล้ว โดยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ได้โปรดเกล้าฯให้คนกลุ่มนี้มาตั้งถิ่นฐานในเมืองสระบุรี และเมืองราชบุรี ต่อมาก็ได้กระจายไปตั้งถิ่นฐานยังจังหวัดอื่นๆ ด้วย เช่นนครปฐม ลพบุรี พิษณุโลก ฯลฯ
โครงการวิจัยของ อาจารย์ ดร.ยุทธพร นาคสุข มีชื่อว่า"อนุรักษ์เอกสารโบราณของชาวไทยยวนในเขตภาคกลาง" ดำเนินงานอยู่ในพื้นที่จังหวัดภาคกลางโดยรอบมหาวิทยาลัยมหิดล โดยในปี 2564 - 2565 มีพื้นที่วิจัยอยู่ที่ชุมชนไทยยวนบ้านท่าเสา ตำบลห้วยม่วง อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม และในปี 2566 มีพื้นที่วิจัยอยู่ที่ชุมชนไทยยวนบ้านนาหนอง และหมู่บ้านทุ่งหญ้าคมบางตำบลดอนแร่ อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี
อันที่จริงความตั้งใจในการดำเนินโครงการของอาจารย์ คือเพื่ออนุรักษ์เอกสารของกลุ่มชาติพันธุ์ทุกกลุ่มในเขตภาคกลาง แต่เหตุที่เลือกจะอนุรักษ์เอกสารของคนไทยยวนก่อนกลุ่มอื่น ๆ เพราะภาษาและวัฒนธรรมของคนกลุ่มนี้เริ่มจางลงไปเรื่อย ๆ ภาษาและวัฒนธรรมไทยยวนถูกแทรกแซงจากภาษาและวัฒนธรรมไทยกลางค่อนข้างมาก
คนไทยยวนรุ่นใหม่พูดภาษาไทยยวนไม่ค่อยได้กันแล้ว และในส่วนของภาษาเขียนพบว่ามีความวิกฤตยิ่งกว่า กล่าวคือเอกสารใบลานไทยยวนที่จารด้วยอักษรธรรมล้านนาแทบจะไม่มีคนในชุมชนอ่านได้แล้ว หากไม่อนุรักษ์โดยเร่งด่วนเอกสารเหล่านี้อาจสูญหายไปตลอดกาล ไม่ว่าจะด้วยน้ำมือมนุษย์ หรือเสื่อมสภาพไปตามอายุการใช้งานของใบลานเอง
โครงการนี้เป็นการทำงานร่วมกับชุมชน เนื่องจากต้องการให้คนในชุมชนได้ตระหนักถึงคุณค่าของเอกสารโบราณที่มีอยู่ และร่วมกันอนุรักษ์ภาษาและวัฒนธรรมของตน
นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานภาคีเครือข่ายเข้ามาช่วยในโครงการนี้ด้วย 2 หน่วยงาน คือ คณะโบราณคดีมหาวิทยาลัยศิลปากร และศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน) ตลอดจนยังมีนักศึกษาในหลักสูตรและบุคคลทั่วไปที่เคยเข้าอบรมกับ อาจารย์ ดร.ยุทธพร นาคสุขมาร่วมทำกิจกรรมในโครงการนี้ด้วย เช่น พระภิกษุสงฆ์อาจารย์มหาวิทยาลัย นักวิจัย นักวิชาการ นักศึกษา นักเรียนทั้งระดับชั้นมัธยมศึกษาและประถมศึกษา
กระบวนการอนุรักษ์เอกสารโบราณเริ่มตั้งแต่การทำความสะอาด การทำทะเบียน การทำสำเนาดิจิทัล การซ่อมแซมและการจัดเก็บ การทำสำเนาดิจิทัลจะช่วยยืดอายุของเอกสารต้นฉบับให้ยาวนานขึ้น เพราะสามารถอ่านจากสำเนาได้โดยไม่ต้องหยิบจับเอกสารต้นฉบับ และถึงแม้ต้นฉบับจะสูญสลายหรือเสียหาย สำเนาดิจิทัลนี้ก็ยังจะคงอยู่ต่อไป
ขณะนี้มีเอกสารโบราณที่ได้รับการทำสำเนาดิจิทัลไปแล้วกว่า 400 รายการ และอยู่ระหว่างการดำเนินการอีกประมาณ1,000 รายการ พบอักษรที่ใช้บันทึกถึง 5 ชนิด ได้แก่ อักษรธรรมล้านนา อักษรไทยสมัยรัตนโกสินทร์ อักษรขอมไทยอักษรธรรมลาว และอักษรไทยน้อย
เป้าหมายปลายทางของโครงการ คือ การสร้างฐานข้อมูลดิจิทัลเอกสารโบราณของกลุ่มชาติพันธุ์ในเขตภาคกลางให้มีสำเนาดิจิทัลมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจสามารถสืบค้นและดาวน์โหลดไปใช้ประโยชน์ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
ขณะนี้อยู่ระหว่างการนำข้อมูลเข้าสู่ระบบ คาดว่าฐานข้อมูลของโครงการจะแล้วเสร็จภายในเดือนมกราคม พ.ศ. 2566 นี้
อาจารย์ ดร.ยุทธพร นาคสุข ได้แสดงทัศนะเกี่ยวกับการอนุรักษ์เอกสารโบราณว่า ตนเป็นเพียงฟันเฟืองเล็กๆ ที่ดำเนินการอยู่ในพื้นที่ภาคกลางของประเทศเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายหน่วยงานที่ทำงานแบบเดียวกันนี้ในภูมิภาคอื่นๆด้วย รวมถึงมีฐานข้อมูลเอกสารโบราณที่สังกัดหน่วยงานเหล่านี้อีกไม่น้อย แต่ปัจจุบันมีลักษณะต่างคนต่างทำ
อาจารย์ ดร.ยุทธพร นาคสุข จึงตั้งความหวังว่าน่าจะมีหน่วยงานเจ้าภาพที่บูรณาการงานด้านนี้เข้าด้วยกัน เพื่อให้การอนุรักษ์มรดกภูมิปัญญาของชาติแขนงนี้มีความเป็นเอกภาพและมีประสิทธิภาพกว่าที่เป็นอยู่
ติดตามข่าวสารที่น่าสนใจจากมหาวิทยาลัยมหิดลได้ที่ www.mahidol.ac.th
สัมภาษณ์ และเขียนข่าวโดย ฐิติรัตน์ เดชพรหม นักประชาสัมพันธ์ (ชำนาญการ) งานสื่อสารองค์กร กองบริหารงานทั่วไป สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โทร. 0-2849-6210
.
ที่มา: มหาวิทยาลัยมหิดล