"ทรีนีตี้" มองการลงทุนปี 2566 เงินทุนเคลื่อนย้ายเร็ว มีทั้งปัจจัยบวก และลบเข้ามากระทบ จีนเปิดประเทศหนุนเศรษฐกิจโตผ่านช่องทางการท่องเที่ยว

พฤหัส ๑๒ มกราคม ๒๐๒๓ ๑๓:๕๓
"ทรีนีตี้" มองการลงทุนปี 2566 เงินทุนเคลื่อนย้ายเร็ว มีทั้งปัจจัยบวก และลบเข้ามากระทบ จีนเปิดประเทศหนุนเศรษฐกิจโตผ่านช่องทางการท่องเที่ยว การค้าและการลงทุนทางตรง และฟันด์โฟล์วไหลเข้าตลาดทุนในไตรมาสแรก ธนาคารกลางสหรัฐมีโอกาสกลับทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยเป็นการคงดอกเบี้ยและลดดอกเบี้ยปลายปี ขณะที่ช่วงกลาง - ปลายปีมีความเสี่ยงฟันด์โฟล์วไหลย้อนกลับไปลงทุนในกลุ่มประเทศเอเชียเหนือ ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยปีกระต่ายจะแกว่งอยู่ระหว่าง 300 จุด ชี้ไตรมาสแรกของปีนี้ หุ้นไทยจะให้ผลตอบแทนดีที่สุด ให้เพิ่มน้ำหนักลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคาร กลุ่มค้าปลีก กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่ม Infrastructure Fund กลุ่ม Industrial Estate และกลุ่มโทรคมนาคม มองว่าตลาดหุ้นไทยครึ่งปีแรกดีกว่าครึ่งปีหลัง

ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2566 ตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนได้รับแรงกระแทกจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งเป็นผลจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ Fed ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างรวดเร็วในปี 2565 โดยขึ้นดอกเบี้ยรวมกว่า 4% เพื่อที่ลดแรงกดดันเงินเฟ้อที่ปรับตัวขึ้นในระดับ 8 - 9% ในปี 2565 หรือที่เราเรียกว่า Over-Tightening เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในปี 2523 และ Fed ต้องลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยเศรษฐกิจ มองว่าเงินเฟ้อของสหรัฐจะแตะระดับ 2% ใน 2 ปีข้างหน้า มองค่าเงิน US$ จะอ่อนค่าลงได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และจะไม่กลับไปแข็งค่าอีกในระยะสั้น

"ผลจากการที่ Fed ขึ้นดอกเบี้ยแรง และเร็วจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจจะติดลบ 0.1% ในไตรมาส 2 ปีนี้ และอาจจะลากยาวถึงติดลบ 2.3% ในไตรมาส 1 ปี 2567 ขณะที่เศรษฐกิจ Euro Zone อาจจะติดลบ 0.4% ในไตรมาส 4 ของปี 2565 และติดลบอีก 0.4% ในไตรมาส 1 ของปีนี้ ก่อนที่ฟื้นตัวบวก 0.2% ในไตรมาส 2 ส่วนเศรษฐกิจจีนมองการฟื้นตัวอยู่ที่ระดับ 4 - 5% และอาจจะฟื้นตัวแตะระดับ 6.8% ในไตรมาส 2 ของปี 2567 จึงมองการ Overweight ตลาดหุ้นจีนยังได้ประโยชน์จากอุปสงค์ที่ซ่อนอยู่ (Pent-up Demand) และเงินออมที่เก็บไว้ในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ตลอดจนการที่กองทุนระดับโลกยังคง underweight หุ้นจีน 3 - 5%"

ดร.วิศิษฐ์ กล่าวว่า การตัดสินใจเรื่องนโยบายดอกเบี้ยของ Fed ในช่วงกลางปีนี้ จะเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด และจะมีผลต่อทิศทางตลาดทุนทั่วโลก โดยคาดการณ์ไว้ 3 กรณี ได้แก่

กรณีที่ 1: Fed ขึ้นดอกเบี้ย 0.5% ในไตรมาส 1 สู่ระดับ 5% แล้วหยุดทั้งปี มองมีโอกาสเกิดขึ้น 35 - 40% ผลคือ ตลาดหุ้นทั่วโลกจะ Sideway up แต่ฟันด์โฟล์วจะเคลื่อนย้ายมาสู่เอเชียเหนือมากขึ้น (กรณีฐาน)

กรณีที่ 2: Fed ขึ้นดอกเบี้ย 0.5% ในไตรมาส 1 สู่ระดับ 5% แล้วปรับลดลงกว่า 1 - 1.5% ในไตรมาส 4 มองมีโอกาสเกิดขึ้น 30 - 35% ผลคือ ตลาดหุ้นใน Emerging Market จะ outperform

กรณีที่ 3: Fed ขึ้นดอกเบี้ย 0.5% ในไตรมาส 1 สู่ระดับ 5% ในไตรมาส 1 และหยุด และปรับขึ้นดอกเบี้ยต่ออีกครั้งในช่วงปลายปีสู่ระดับ 6.5% มองมีโอกาสเกิดขึ้นแค่ 20% ผลคือ ตลาดหุ้นทั่วโลกจะปรับฐาน (สถานการณ์ที่เลวร้ายสุด)

อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอย ขณะที่จีนได้ประกาศเปิดประเทศ จะส่งผลให้ Fund Flow ไหลออกจากสหรัฐฯ และเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่ต่อเนื่องจากปี 2565 เห็นได้จากการที่นักลงทุนต่างประเทศซื้อหุ้นใน ASEAN 6 ประเทศ กว่า 1.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็น Fund Flow ที่สูงสุดในประวัติศาสตร์ ขณะที่ประเทศไทยพบว่ามี Fund Flow จากนักลงทุนต่างประเทศไหลเข้ากว่า 6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือมากกว่า 2 แสนล้านบาท ทำให้ MSCI ของ ASEAN ถูก overweight สูงกว่า Benchmark กว่า 1.6% และเงินยังไหลเข้าต่อเนื่อง ในช่วงสัปดาห์แรกของปี 2566 ซึ่งนักลงทุนต่างประเทศเป็นฝ่ายซื้อสุทธิกว่า 7.8 พันล้านบาทในตลาดหุ้นไทย และ 4.2 หมื่นล้านบาท ในตลาดพันธบัตรระยะสั้นไทย และยังคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะเห็นเงินไหลไปลงทุนประเทศในเอเชียเหนือ เช่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน มากขึ้น และจะทำให้กลุ่ม Tech ในจีน ไต้หวัน และเกาหลีใต้ outperform ขึ้นมา ซึ่งจะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อฟันด์โฟล์วไหลออกจากตลาดหุ้น ASEAN รวมถึงหุ้นไทย

ดร.วิศิษฐ์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปี 2566 มีทั้งปัจจัยบวก และลบที่มีผลต่อการลงทุน และมองว่าดัชนีหุ้นไทยจะแกว่งอยู่ระหว่าง 300 จุด (13 เท่าของกำไรต่อหุ้น 117 บาท และ 15 เท่า ของกำไรต่อหุ้น 117 บาท ในปี 2567 ตามลำดับ) โดยช่วงไตรมาส 1 จะเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด แนะนำการลงทุนเป็น Sector Rotation โดยให้น้ำหนักลงทุนมากกว่าตลาด (Overweight) ไปยังกลุ่มธนาคาร กลุ่มค้าปลีก กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่ม Infrastructure Fund กลุ่ม Industrial Estate และกลุ่มโทรคมนาคม แต่ให้น้ำหนักลงทุนน้อยกว่าตลาด (Underweight) กลุ่มพลังงาน

"ช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2566 ตลาดหุ้น ASEAN และ SET Index จะ Outperform ตลาดหุ้นโลก เพราะตลาดหุ้น ASEAN ได้ผลประโยชน์จากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนลง ต้นทุนวัตถุดิบที่ถูกลงเงินเฟ้อที่ลดลง แต่คาดว่านับตั้งแต่ไตรมาส 2 หรืออย่างช้าในไตรมาส 4 นักลงทุนต่างประเทศเริ่มหาจังหวะที่จะลดการลงทุนหุ้น ใน ASEAN อาจขายหุ้นประมาณหนึ่งส่วนสามของ 1.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่ซื้อมาปี 2565 หรือ 4 พันล้านเหรียญ เพื่อคงน้ำหนักลงทุนให้เท่า Benchmark MSCI Emerging Market "

การจัด Asset Allocation ปี 2566 ให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน Global Fixed Income 25 - 30% หุ้นใน Emerging Market 20 - 25% โดยเน้นน้ำหนักหุ้นจีน และเวียดนาม หุ้นไทย 10 - 15% ทองคำ 5 - 10% หุ้นยุโรปและหุ้นญี่ปุ่น 5% และเงินสด 25 - 30%

"ปี 2566 เป็นปีที่มีความผันผวนอย่างมาก มีทั้งปัจจัยที่เป็นบวก และลบผสมกันอย่างมาก เงินทุนเคลื่อนย้ายเร็วขึ้น Fed มีโอกาสกลับทิศจากการขึ้นดอกเบี้ยต้นปี ไปเป็นลดดอกเบี้ยแทน และอาจจะลดกว่า 1.75% ในปลายปี 2566 หรือการลดดอกเบี้ยของ Fed จะเกิดขึ้นอย่างช้าที่สุดในไตรมาส 1 ปี 2567 หรือเรียกว่า Fed Pivot ค่าเงิน US$ จะอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็วช่วงที่ Fed หยุดการขึ้นดอกเบี้ย กลยุทธ์ลงทุน แนะนำให้ Overweight ในสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ดอลลาร์ มองค่าเงิน Yen แข็งค่าขึ้นขณะที่ราคาทองคำในรูปเงินดอลลาร์มีโอกาสขยับค่าขึ้น"

ดร.วิศิษฐ์ กล่าวทิ้งท้าย ในส่วน กนง.ของไทย อาจจะปรับเพิ่มดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% อีก 2 ครั้ง ในวันที่ 25 มกราคม และ 29 มีนาคม แล้วจะหยุดการขึ้นดอกเบี้ย เพราะเงินเฟ้อได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว

ปัจจัยบวก และปัจจัยเฝ้าระวังที่ส่งผลต่อตลาดหุ้นไทย

ปัจจัยบวกปัจจัยเฝ้าระวัง1. การเลือกตั้ง สถิติในอดีตนับตั้งแต่ปี 2531 มีการเลือกตั้ง 12 ครั้ง พบว่า ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทน 5.2% (Medium) ช่วง 3 เดือนก่อนการเลือกตั้งด้วยความน่าจะเป็น 73% จากการจับจ่ายใช้สอยที่มีเพิ่มขึ้นก่อนการเลือกตั้ง1. จีนเปิดประเทศอาจนำไปสู่การระบาดรอบใหม่ของ COVID เนื่องจากการเปิดเมืองของจีนเกิดขึ้นในช่วงการระบาดของ COVID ในจีนสูงถึง 40,000 คนต่อวัน  2. จีนเปิดประเทศหนุนการท่องเที่ยวขยับขึ้นมาอยู่ที่ 24-25 ล้านคนในปีนี้ จากปีก่อนที่ 11 ล้านคน หนุน GDP เพิ่มขึ้น 3.4 - 4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเกือบ 5% ของ GDP คาดการณ์ดุลบัญชีเดินสะพัดถึงระดับ 0.5% ของ GDP ในปี 2566 GDP ไทยถูกปรับขึ้นสูงถึง 3.5 - 3.8% ในปี 2566    2. เศรษฐกิจโลกในปี 2566 เติบโต 2.2% เป็นการเติบโตน้อยสุดในรอบกว่า 20 ปี (ยกเว้นปี 2551 และ 2563) ส่งผลกระทบถึงการส่งออก และเศรษฐกิจที่ถดถอยลง และทำให้เกิด Derating ของตลาดหุ้น และมองว่าตลาดหุ้นทั่วโลกยังไม่สะท้อนถึงการถดถอยของภาคการผลิต และเสี่ยงที่จะมีการ down grade ของกำไรต่อหุ้น Recession ใน สหรัฐฯ ส่วนหุ้นไทยคาดการณ์กำไรต่อหุ้น ที่ 117 บาท ต่อหุ้น ในปี 25673. เงินลงทุนตรง (FDI) ไหลเข้ามาลงทุนต่อเนื่องโดยเฉพาะsector ยานยนต์ไฟฟ้า ที่ในปี 2565 FDI เข้าไทย 1.5 หมื่นล้านเหรียญ ถือเป็น FDI ที่เข้าไทยสูงเป็นอันดับ 2 ในรอบ 10 ปี3. การถดถอยของเศรษฐกิจยุโรป และสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบเชิงลบในการเติบโตต่อเศรษฐกิจไทย การส่งออก และการบริโภคในในปี 2566 เพราะที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยฟื้นจากการส่งออก (Gross Export) ซึ่งการส่งออกมี สัดส่วนมากกว่า 60% ของ GDP4. สินค้าโภคภัณฑ์ และเงินเฟ้อจะเป็นขาลง และได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว4. FED อาจเปลี่ยนมุมมองในการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในช่วงกลางปี และในสถานการณ์ที่เลวร้ายสุด ปรับมุมมองการขึ้นดอกเบี้ยใหม่มาสู่ระดับ 6.5% (ความน่าจะเป็น    20 - 25%)5. สภาพคล่องเริ่มดีขึ้น Credit Spread ที่อ่อนค่าลง บ่งชี้ถึงยังไม่เกิดความเสี่ยงจาก Credit Default 

ที่มา: หลักทรัพย์ ทรีนีตี้

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๓๑ ม.ค. รู้จักโรคอ้วนดีแล้ว.จริงหรือ?
๓๑ ม.ค. บมจ.ไทยเซ็นทรัลเคมี ร่วมกับ MBK ส่งมอบปฏิทินในกิจกรรม ปฏิทินเก่ามีค่า เราขอ
๓๑ ม.ค. BSRC ออกหุ้นกู้รอบใหม่ 8,000 ล้านบาท ยอดจองเกินเป้า ตอกย้ำความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน
๓๑ ม.ค. คปภ. ร่วมสัมมนาประกันภัย ครั้งที่ 29 เตรียมรับมือความเสี่ยงอุบัติใหม่ พลิกโฉมธุรกิจประกันภัยสู่ความท้าทายในอนาคต
๓๑ ม.ค. มอบของขวัญให้กับครอบครัวของคุณช่วงวันหยุดพิเศษที่ สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท
๓๑ ม.ค. OR เปิดตัว CEO คนใหม่ หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ มุ่งผลักดันไทยสู่ Oil Hub แห่งภูมิภาค พร้อมขับเคลื่อนองค์กรด้วยดิจิทัล-นวัตกรรม
๓๑ ม.ค. เดลต้า ประเทศไทย คว้ารางวัล ASEAN's Top Corporate Brand ประจำปี 2567
๓๑ ม.ค. โรงแรมอลอฟท์ กรุงเทพ สุขุมวิท 11 พลิกโฉมใหม่ สุดโมเดิร์น! พร้อมเปิดตัว w xyz bar ตอกย้ำความสนุกในแบบฉบับ
๓๑ ม.ค. PAUL JOE เปิดตัว GLOSSY ROUGE ต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ 2025
๓๑ ม.ค. บริษัท โกซอฟท์ (ประเทศไทย) ได้รับเกียรติบัตรศูนย์ รับเรื่องและแก้ไขปัญหาให้กับผู้บริโภคระดับดีเด่น จาก สคบ. และการรับรองมาตรฐาน ISO