บริษัท นิวทรีชั่น เอสซี จำกัด (มหาชน) หรือ NTSC เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 25,000,000 หุ้น หรือคิดเป็น 25% ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ ได้แต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย พร้อมแต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) , บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด , บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน
นางสาวสุวิมล ศรีโสภาจิต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า บริษัท นิวทรีชั่น เอสซี จำกัด (มหาชน) หรือ NTSC ได้กำหนดราคาเสนอขาย IPO ที่หุ้นละ 26.25 บาท จะเปิดให้นักลงทุนจองซื้อในวันที่ 1-3 กุมภาพันธ์นี้ และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 ในหมวดธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร
สำหรับราคาหุ้นสามัญที่เสนอขายหุ้นละ 26.25 บาท ถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสม คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) ที่ประมาณ 22 เท่า โดยคำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นจากผลการดำเนินงานในช่วง 4 ไตรมาสล่าสุด (ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2565) ทั้งนี้ NTSC พิจารณานำ P/E ของ คู่เทียบในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ในช่วง 30 และ 180 วันทำการ นับจากวันที่ 18 เมษายน 2565 ถึงวันที่ 12 มกราคม 2566 มาเป็นข้อมูลประกอบการเปรียบเทียบ
อย่างไรก็ดี NTSC พร้อมเดินหน้าจัดงานโรดโชว์ นำเสนอข้อมูลสรุปการเสนอขายหุ้น IPO ต่อนักลงทุนรายย่อย ชูปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของธุรกิจ และจุดเด่นของ NTSC เป็นบริษัทชั้นนำในธุรกิจวัตถุเจือปนอาหารคนและอาหารสัตว์รายใหญ่ในประเทศไทย ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญกว่า 4 ทศวรรษ มีความรู้และประสบการณ์ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มุ่งเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล มีศูนย์นวัตกรรม และทีมวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ด้านอาหาร รวมทั้ง มีศักยภาพในการจัดหาผลิตภัณฑ์ในปริมาณที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า และการกระจายพอร์ตลูกค้าได้ดี ไม่พึ่งพาลูกค้ากลุ่มใดเป็นสำคัญ โดยลูกค้ารายใหญ่สุดของบริษัท 20 ราย คิดเป็นสัดส่วนของยอดขายราว 34% ขณะที่ลูกค้ารายใหญ่สุดมีสัดส่วนประมาณ 4% ของยอดขาย ทำให้กลุ่มบริษัทไม่มีความเสี่ยงที่ต้องพึ่งพิงลูกค้ารายใหญ่เพียงรายเดียวมากจนเกินไป ส่งให้ในช่วงที่ผ่านมา NTSC มีผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างมั่นคง และความสามารถในการทำกำไรที่ดี
ดร.พัชร์ เอกปัญญาสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นิวทรีชั่น เอสซี จำกัด (มหาชน) หรือ NTSC กล่าวว่า การเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้ จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนจำนวนประมาณ 628.2 ล้านบาท (หลังหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง) เพื่อใช้สำหรับลงทุนโครงการในอนาคต ได้แก่ ลงทุนในโครงการผลิตสารกระตุ้นความน่ากินในสัตว์เลี้ยง (Palatability Enhancer Project) มูลค่า 4.9 ล้านบาท , โครงการลงทุนในเครื่องจักรสำหรับการผลิตสินค้า OEM และสินค้าประเภท Food Preparation มูลค่า 12.3 ล้านบาท รวมทั้ง ใช้ชำระหนี้สินเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน 400 ล้านบาท และ เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบกิจการ 211 ล้านบาท เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันให้เติบโตก้าวกระโดดได้ในอนาคต
และมั่นใจว่า หลังจากระดมทุนครั้งนี้ จะสนับสนุนฐานทุน NTSC ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เตรียมพร้อมสำหรับขยายไปยังโอกาสใหม่ๆ ในห่วงโซ่คุณค่าของอุตสาหกรรมอาหารได้อย่างครอบคลุม และมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีในอนาคต เนื่องจากธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มเป็นปัจจัยพื้นฐานที่ผู้บริโภคให้ความสนใจ ขณะที่ ธุรกิจสารปรุงแต่ง วัตถุดิบ และวัตถุเจือปนในอาหารคน ถูก Disrupt ได้ยาก และมีแนวโน้มเติบโตตามการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคอาหารและเครื่องดื่ม ได้แก่ อาหารจากพืช (Plant-based Food) หรือ อาหารและเครื่องดื่มที่สอดรับต่อความต้องการด้านสุขภาพ นอกจากนี้ NTSC พร้อมรุกตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มเติม เนื่องจากตลาดดังกล่าวมีการเติบโตสูง และประเทศไทยติด Top 5 ส่งออกสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงในตลาดโลก ส่งผลบวกต่อแนวโน้มผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทในอนาคต
ด้านผลการดำเนินงานของ NTSC ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2562 - 2564) มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีมีรายได้จากการขาย 852.3 ล้านบาท 997.1 ล้านบาท และ 1,037.9 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 92.7 ล้านบาท 90.6 ล้านบาท และ 98.8 ล้านบาท ตามลำดับ จากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากลูกค้าในอุตสาหกรรมอาหารคนและอาหารสัตว์
ส่วนงวด 9 เดือนแรกของปี 2565 บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 796.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.3% จากงวดเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการขยายตัวของวัตถุเจือปนในอาหารสัตว์ที่มีรายได้เพิ่มขึ้น 36.8% เนื่องจากในปี 2565 กลุ่มบริษัทมุ่งเน้นทำการตลาดในกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงและสัตว์เศรษฐกิจมากขึ้น และมีกำไรสุทธิ 62.8 ล้านบาท โดยมีโครงสร้างรายได้ของกลุ่มบริษัทประกอบด้วย รายได้จากการนำเข้า ผลิตและจัดจำหน่ายวัตถุดิบ สารปรุงแต่ง และวัตถุเจือปนในอาหารคน คิดเป็นสัดส่วนหลัก ราว 90% ส่วนรายได้จากวัตถุดิบ สารปรุงแต่ง และวัตถุเจือปนในอาหารสัตว์ มีสัดส่วนรายได้ประมาณ 10%
ที่มา: ไออาร์ พลัส