นางสาวนลิน ฉัตรโชติธรรม นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคาร ซิตี้แบงก์ ประเทศไทย กล่าวว่า "ซิตี้ ยังคงคาดการณ์ว่าธปท. จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 2.25% ในไตรมาสที่ 3 ปี 2566 จากการที่โมเมนตัมการเติบโตของเศรษฐกิจไทยระหว่างปี 2566-2567 ยังอยู่ในเชิงบวก แม้ว่าธปท.ยังมีความกังวลหนี้ครัวเรือนและธุรกิจ SMEs แต่ธปท. ยังคงมองว่าสินเชื่อภาคเอกชนยังสามารถโตต่อได้ แม้อัตราดอกเบี้ยและต้นทุนทางการเงินปรับสูงขึ้น ซิตี้แบงก์คาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปีหน้าจะเฉลี่ยที่ 2.2% ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงจะถยอยปรับขึ้นจากระดับติดลบสู่ระดับ 0% ถือว่าใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในอดีต ทั้งนี้ ซิตี้มองว่าปัจจัยเสี่ยงที่อาจจะทำให้ธปท. ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายน้อยกว่าที่คาด คือ 1) ภาวะเศรษฐกิจโลกที่อาจจะชะลอตัวมากกว่าที่คาดไว้เดิม และอาจจะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทย และ 2) หากเงินบาทแข็งค่ารวดเร็วเกินไป อาจทำให้ กนง.บางท่านพิจารณาการชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย"
ซิตี้แบงก์มองว่า การแข็งค่าของเงินบาทล่าสุดยังไม่น่าจะเป็นปัจจัยหลักที่กนง.กังวลในระยะนี้ แม้ว่า การแข็งค่าของเงินบาทในช่วงนี้ทำให้เกิดความกังวลถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในบางภาคส่วน อาทิ ผู้ส่งออก อนึ่ง อัตราแลกเปลี่ยนไม่ได้เป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของนโยบายทางการเงิน ซึ่งประกอบไปด้วยการเติบโตอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจ เสถียรภาพด้านราคา และเสถียรภาพระบบการเงิน ด้าน นายปิติ ดิษยธัต ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย เผยในช่วงการแถลงข่าววันที่ 25 มกราคม 2566 ว่า การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท ยังอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับพื้นฐานเศรษฐกิจ และไม่จำเป็นต้องมีมาตรการพิเศษมาดูแล
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2566 ที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเอกฉันท์ขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 1.25% เป็น 1.50% หลังประเมิณว่าความเสี่ยงขาลงของการเติบโตเศรษฐกิจโลกได้ลดลง ทั้งข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดของประเทศที่พัฒนาแล้วออกมาดีกว่าคาด และการเปิดประเทศจีนที่เร็วกว่าความคาดหมาย อีกทั้ง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะผ่านพ้นจุดต่ำที่สุดในปีนี้ รวมถึงภาคการส่งออกจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวในปี 2567 แม้ว่าการส่งออกของไทยในช่วงปลายปีที่ผ่านมาจะเติบโตต่ำกว่าประมาณการณ์ นอกจากนี้ ธปท.ยังได้ปรับการประมาณการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศไทยในปี 2566 เพิ่มขึ้นเป็น 34 ล้านคน จาก 31.5 ล้านคน ที่คาดไว้เดิม ซึ่งธปท.มองว่าการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวดังกล่าวจะส่งผลให้เกิดการจ้างงาน รวมไปถึงการเพิ่มขึ้นของรายได้ของภาคบริการและผู้ประกอบอาชีพอิสระในวงกว้าง
ในขณะเดียวกัน มุมมองด้านเงินเฟ้อในประเทศของธปท.ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากจากการประชุมเดือน พฤศจิกายน โดยมองว่า การที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกลดลงช่วยลดความกดดันเงินเฟ้อจากด้านอุปทานในประเทศไทย พร้อมยังมองว่าการคาดการณ์เงินเฟ้อในระยะกลางของเอกชนยังคงยึดเหนี่ยวอยู่ที่ 1-3% ของเป้าหมายนโยบายการเงิน อย่างไรก็ตาม ธปท.ยังคงมองว่าต้องจับตาอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงกว่าในอดีตมาก ซึ่งธปท.สังเกตว่า เครื่องชี้แนวโน้มเงินเฟ้อล่าสุดแสดงให้เห็นถึงแรงกดดันของเงินเฟ้อที่ยังสูงอยู่ และยังคงต้องระมัดระวังการส่งผ่านต้นทุนการผลิตที่ยังไม่สิ้นสุดไปยังราคาสินค้าผู้บริโภคในช่วงต่อไป โดยเฉพาะจากค่าไฟฟ้าที่ได้ปรับขึ้นมาช่วงก่อนหน้านี้ 2566 ตลอดจนการฟื้นตัวเพิ่มขึ้นของภาคการท่องเที่ยวอาจเป็นอีกปัจจัยหนึ่งซึ่งทำให้เกิดแรงกดดันเงินเฟ้อที่สูงขึ้นจากปัจจัยด้านอุปสงค์อีกด้วย
สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย หรือ www.citibank.co.th
ที่มา: เจซีแอนด์โค คอมมิวนิเคชั่นส์