ทีมเรดบูล ฟอร์ด (Red Bull Ford) จะพัฒนาเครื่องยนต์ให้กับทีมออราเคิล เรดบูล เรซซิ่ง และทีมสคูเดอเรีย อัลฟ่าทอรี ตั้งแต่ปี 2026 ถึงปี 2030 เป็นอย่างน้อย
"นี่คือตำนานบทใหม่ของฟอร์ดในประวัติศาสตร์วงการมอเตอร์สปอร์ตที่ถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่ทวดของผมได้ก่อตั้งบริษัทขึ้นมาหลังจากชนะการประลองความเร็ว" มร. บิล ฟอร์ด ประธานบริหาร ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี กล่าว "ฟอร์ดได้ร่วมกับทีมแชมป์โลกอย่างออราเคิล เรดบูล เรซซิ่ง เพื่อกลับสู่จุดสูงสุดของวงการ โดยนำนวัตกรรมของฟอร์ด ความยั่งยืน และระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าซึ่งเป็นจุดแข็งของฟอร์ดมาอย่างยาวนานกลับสู่สนามแข่งที่คนให้ความสนใจมากที่สุดเวทีหนึ่งในโลก"
นับตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นไป ฟอร์ดและเรดบูล พาวเวอร์เทรนส์ จะร่วมกันพัฒนาเครื่องยนต์ตามกฎระเบียบใหม่ ซึ่งประกอบด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 350 กิโลวัตต์และเครื่องยนต์สันดาปแบบใหม่ที่รองรับเชื้อเพลิงทางเลือก พร้อมลงสนามในฤดูกาล 2026
"การที่ฟอร์ดจับมือกับทีมเรดบูล เรซซิ่ง กลับมาลงสนามฟอร์มูล่าวัน ตอกย้ำวิสัยทัศน์ของบริษัทที่มุ่งเน้นการนำเสนอรถยนต์และประสบการณ์ด้านยานยนต์ไฟฟ้า และซอฟต์แวร์ที่ทันสมัย" มร. จิม ฟาร์ลีย์ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี กล่าว "ฟอร์มูล่าวันจะเป็นแพลตฟอร์มที่คุ้มค่าในการพัฒนานวัตกรรม แบ่งปันแนวคิดและเทคโนโลยี และช่วยให้เราเข้าถึงลูกค้าใหม่อีกกว่าสิบล้านราย"
ฟอร์ดจะมอบความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคทุกด้านที่จะเป็นประโยชน์ต่อทีมแข่งที่มีศักยภาพในการแข่งขันชิงแชมป์โลก โดยจะร่วมกันพัฒนาเครื่องยนต์สันดาป เทคโนโลยีเซลล์แบตเตอรี่และมอเตอร์ไฟฟ้า ซอฟต์แวร์ควบคุมเครื่องยนต์ และการวิเคราะห์
"การร่วมมือเป็นพันธมิตรในครั้งนี้เป็นโอกาสอันดีในการต้อนรับฟอร์ดกลับสู่สนามฟอร์มูล่าวัน" มร. คริสเตียน ฮอร์นเนอร์ หัวหน้าทีมและซีอีโอของออราเคิล เรดบูล เรซซิ่ง กล่าว "ในฐานะผู้ผลิตเครื่องยนต์อิสระ การได้ความรู้ความเชี่ยวชาญจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์อย่างฟอร์ดโดยตรง ทำให้เราได้เปรียบคู่แข่ง ฟอร์ดอยู่ในประวัติศาสตร์วงการมอเตอร์สปอร์ตมายาวนานหลายชัวอายุคน ตั้งแต่จิม คลาร์ก ไปจนถึง ไอร์ตัน เซนนา และไมเคิล ชูมัคเกอร์ การที่เรดบูล พาวเวอร์เทรนส์ จะเปิดประวัติศาสตร์บทใหม่กับฟอร์ดในนาม เรดบูล ฟอร์ด จึงเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นอย่างมาก ปี 2026 อาจดูเหมือนยังอีกไกล แต่งานของเราได้เริ่มขึ้นแล้ว และเราพร้อมสร้างอนาคตใหม่ให้ทีมออราเคิล เรดบูล เรซซิ่ง"
ทั้งนี้ ฟอร์ดลงทุนกว่า 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.65 ล้านล้านบาท เพื่อปฏิวัติวงการรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก โดยปัจจุบันเป็นบริษัทที่มียอดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าสูงที่สุดเป็นอันดับ 2 ในสหรัฐอเมริกา จากความสำเร็จของรถกระบะเอฟ-150 ไลท์นิ่งและรถฟอร์ด มัสแตง มัค-อี นอกจากนี้ รถฟอร์ด อี ทรานซิสยังเป็นผู้นำตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ในหลายประเทศทั่วโลก ฟอร์ดพร้อมตอบสนองความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น และมีเป้าหมายที่จะส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้ปีละ 600,000 คันทั่วโลกภายในสิ้นปีนี้ และปีละ 2 ล้านคันทั่วโลกภายในปี 2026 ตามนโยบายฟอร์ด พลัส
นอกจากนี้ ในปี 2026 ฟอร์ดจะเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์เพียงรายเดียวที่มีรถเข้าร่วมการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตตั้งแต่ระดับเริ่มต้นไปจนถึงฟอร์มูล่าวัน ประกอบด้วยสนาม ดับบลิวอีซี (WEC) และ ไอเอ็มเอสเอ (IMSA) รวมถึงการส่งมัสแตง จีที 3 ลงสนามแข่งขันเลอ มังส์ 24 ชั่วโมง (Le Mans 24 Hours) รถฟอร์ด เอ็ม-สปอร์ต พูมา ไฮบริด แรลลี 1 ลงสนามดับบลิวอาร์ซี (WRC) รถเรนเจอร์ แร็พเตอร์ และบรองโค ลงสนาม บาฮา 1000 (Baja 1000) และฟอร์ด มัสแตง ลงสนามแนสคาร์ (NASCAR) เอ็นเฮชอาร์เอ (NHRA) และ ซูเปอร์คาร์ (Supercars) โดยฟอร์ดจะใช้ความรู้และประสบการณ์จากการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตมาช่วยเร่งการพัฒนานวัตกรรม เทคโนโลยีและซอฟต์แวร์ให้แก่ผู้บริโภค พร้อมทั้งร่วมมือกับพันธมิตร ณ จุดสูงสุดของวงการมอเตอร์สปอร์ตเพื่อส่งเสริมการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าของฟอร์ดต่อไป
"ฟอร์ด เพอร์ฟอร์แมนซ์กำลังเข้าสู่ยุคใหม่ที่น่าตื่นเต้น" ฟาร์ลีย์ กล่าว "เรามุ่งมั่นที่จะคว้าชัยชนะในสนาม ฟอร์มูล่าวันซึ่งเป็นสุดยอดสนามมอเตอร์สปอร์ตร่วมกับทีมเรดบูล เรซซิ่ง คุณจะได้เห็นรถสปอร์ตคูเป้ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกอย่างมัสแตง ลงแข่งในสนามเริ่มต้นไปจนถึงสนามแข่งซูเปอร์คาร์ของออสเตรเลีย สนาม แนสคาร์ เลอมังส์ และฟอร์ดจะสานต่อการเป็นผู้นำด้านการแข่งขันบนเส้นทางทางออฟโรด ทั้งในการแข่งขันรเวิร์ลด์ แรลลี แชมปเปียนชิป (World Rally Championship) คิงออฟแฮมเมอร์ส (King of Hammers) และบาฮา 1000 และอีกหลายสนาม และเราจะสร้างความตื่นเต้นต่อเนื่องด้วยรถโชว์สุดเท่อย่าง ซูเปอร์แวน 4 และมัสแตง มัค-อี 1400"
ที่มา: ฮิลล์ แอนด์ นอลตัน สแตรทีจีส์