นางสาวปฐมา พรประภา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฐิติกร จำกัด (มหาชน) หรือ TK เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้รายงานผลการดำเนินงานปี 2565 กับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยในปี 2565 ที่ผ่านมา ธุรกิจเช่าซื้อรถจักรยานยนต์และรถยนต์แปรผันตามตลาด รวมทั้งจากปัจจัยภายนอก ทั้งจากเศรษฐกิจของประเทศและจากประกาศเรื่องให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2565 ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2565 โดยมีผลบังคับเมื่อพ้นกำหนด 90 วันนับแต่วันที่ออกประกาศ ซึ่งเริ่มมีผลบังคับในวันที่ 10 มกราคม 2566 ที่ผ่านมา ส่งผลกระทบโดยตรงกับการดำเนินงานของบริษัทฯ ทั้งนี้ โดยรวม TK ดำเนินกิจการด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะการคงมาตรการที่เข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อและการควบคุมคุณภาพลูกหนี้มาโดยตลอด
การดำเนินงานที่ใช้การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการงาน การใช้ดิจิทัลเทคโนโลยีต่าง ๆ ในการดำเนินงานตั้งแต่บริการลูกค้าไปถึงส่วนงานหลังบ้าน และการบริหารต้นทุนทางการเงิน ช่วยให้ผลการดำเนินงานของ TK ในปี 2565 คงมีกำไรสุทธิ 367.1 ล้านบาท ลดลง 22.2% จาก 471.8 ล้านบาทในปี 2564 และรายได้รวม 1,947.8 ล้านบาท ลดลง 2.7% จาก 2,002.4 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานในปี 2565 ในอัตราหุ้นละ 0.42 บาท รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 210 ล้านบาท คิดเป็นอัตราร้อยละ 57.2 ของกำไรสุทธิ โดยจะปิดสมุดพักการโอนหุ้นเพื่อรับเงินปันผลในวันที่ 9 มีนาคม 2566 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 18 พฤษภาคม 2566 นี้เป็นการปันผลต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 20 นับตั้งแต่บริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2546 ด้านสถานะทางการเงิน TK มีเงินสดและเงินฝากอยู่ที่ระดับ 1,956 ล้านบาท สำหรับใช้เปิดขยายพอร์ตเช่าซื้อ ขยายบริการ "ทีเค รถแลกเงิน" จำนำทะเบียนมอเตอร์ไซค์ ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ที่ TK เริ่มนำร่องบริการดังกล่าวตั้งแต่กลางปี 2565 ที่ผ่านมา รวมทั้งการขยายงานเติบโตพอร์ตเช่าซื้อในต่างประเทศ และบริการอื่น ๆ ที่ TK ได้รับใบอนุญาตมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อส่วนบุคคล และธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัย
"สำหรับในปี 2566 นี้ TK มีเป้าหมายที่จะดำเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยเน้นคุณภาพลูกหนี้เป็นหลัก และเน้นเติบโตแบบยั่งยืนในภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ โดยเฉพาะภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่ง TK มีความพร้อมในการขยายธุรกิจด้วยเงินสดของบริษัทฯ โดยไม่ต้องกู้เงินเพิ่มอีกอย่างน้อย 12 เดือน" นางสาวปฐมา กล่าว
ด้าน นายประพล พรประภา กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ TK กล่าวเพิ่มเติมว่า ณ สิ้นปี 2565 บริษัทฯ มีลูกหนี้เช่าซื้อและลูกหนี้เงินให้กู้ยืมสุทธิรวม 4,158.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.3% จาก 3,949.4 ล้านบาท เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2564 จากนโยบายการขยายตัวเพื่อเพิ่มยอดการปล่อยสินเชื่อ ตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2563 ที่ผ่านมา จนถึงไตรมาส 2 ปี 2565 เนื่องจาก TK คาดการณ์ว่า ทางสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค จะประกาศควบคุมเพดานดอกเบี้ยในไตรมาส 3 ปี 2565 ส่งผลให้ TK เน้นควบคุมการปล่อยสินเชื่อในประเทศ
"สำหรับการปรับตัวของผู้ให้บริการธุรกิจเช่าซื้อหลังการประกาศเรื่อง "ให้ธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2565" เมื่อตุลาคม 2565 และเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 10 มกราคม 2566 ส่งผลให้ลูกค้าส่วนหนึ่งชะลอการซื้อในช่วงเดือนตุลาคมปีที่แล้วถึง 10 มกราคม ที่ผ่านมา เพื่อรอความชัดเจนของรูปแบบสัญญาใหม่ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับเพดานดอกเบี้ยที่ลดลงในกลุ่มรถจักรยานยนต์และรถยนต์มือสอง รวมทั้งส่วนลดดอกเบี้ยหากมีการปิดบัญชีก่อนกำหนด ซึ่งอาจทำให้ความต้องการของลูกค้าส่วนหนึ่งชะลอลงในช่วงเวลาดังกล่าว ส่วนการปรับตัวของผู้ประกอบการนอกเหนือจากความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้นแล้ว บางรายยังมีการลดค่าใช้จ่ายการตลาดและเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อ แต่ผู้ให้บริการบางรายยังมีนโยบายในการปล่อยสินเชื่อเพิ่มมากขึ้น เพื่อชดเชยกับรายได้ที่ลดลงจากการกำหนดเพดานอัตราดอกเบี้ย และในปี 2566 TK คาดการณ์ว่าทางธนาคารแห่งประเทศไทยจะเข้ามากำกับธุรกิจเช่าซื้อรถจักรยานยนต์และรถยนต์ทุกบริษัทในประเทศไทย ซึ่งรายละเอียดยังไม่ชัดเจนว่าทางธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีกฎระเบียบอย่างไรบ้าง" นายประพลให้ความเห็น
อนึ่ง บริษัทฯ เห็นความสำคัญของการมีสำรองที่เพียงพอ และไม่ได้ใช้สิทธิ์ผ่อนปรนการจัดชั้นลูกหนี้ตามมาตรการผ่อนปรนชั่วคราวของสภาวิชาชีพบัญชีของประเทศไทย ณ ปี 2565 TK มีสำรองจำนวน 344.4 ล้านบาท ลูกหนี้ค้างชำระเกิน 3 เดือน ที่ 7.0% และมี Coverage Ratio ที่ 109.8% ซึ่งเปรียบเทียบกับ ณ สิ้นปี 2564 ที่มีสำรองลูกหนี้ จำนวน 371.6 ล้านบาท ลูกหนี้ค้างชำระเกิน 3 เดือน ที่ 7.1% และมี Coverage Ratio ที่ 120.5% ณ ปี 2565 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวม 6,558.3 ล้านบาท ลดลง 6.0% จาก 6,979 ล้านบาท เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2564 และมีหนี้สินรวม 800.5 ล้านบาท ลดลง 39.4% จาก 1,322 ล้านบาท เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2564
ที่มา: แอบโซลูท พีอาร์