- รายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์เท่ากับ 18.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 28 เมื่อเทียบปีต่อปี
- Core EBITDA สูงสุดเป็นประวัติการณ์เท่ากับ 2.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 31 เมื่อเทียบปีต่อปี
- กระแสเงินสดจากการดำเนินงานมีแนวโน้มที่ดีเท่ากับ 2.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 111 เมื่อเทียบปีต่อปี
บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ ไอวีแอล ผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ชั้นนำระดับโลกที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน รายงานผลประกอบการปี 2565 ที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากฐานการผลิตที่กระจายอยู่ทั่วโลก ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการใช้สินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคได้อย่างยืดหยุ่น โดยคาดว่าการระบายสต๊อกสินค้ามากกว่าปกติของลูกค้าที่ส่งผลกระทบในไตรมาสที่ 4 จะมีแนวโน้มที่ลดลง และธุรกิจกลับเข้าสู่สภาวะการดำเนินงานปกติ อีกทั้งการเปิดประเทศจีนจะช่วยกระตุ้นอุปสงค์ให้เติบโตยิ่งขึ้น
สำหรับปี 2565 บริษัทฯ มี Core EBITDA เพิ่มขึ้นร้อยละ 31 เมื่อเทียบปีต่อปี เท่ากับ 2.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ จากรายได้ที่สูงเป็นประวัติกาณ์เท่ากับ 18.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 28 และมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งเท่ากับ 2.24 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 111 เมื่อเทียบปีต่อปี โดยรูปแบบการดำเนินธุรกิจแบบบูรณาการที่มีความหลากหลายทางภูมิศาสตร์ ประกอบกับความคล่องตัวของทีมผู้บริหารทำให้อินโดรามา เวนเจอร์ส สามารถยืนหยัดในสถานการณ์ต่างๆ ของโลกที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด เพื่อเดินหน้าสร้างรายได้ตลอดวงจรธุรกิจ ตลอดทั้งปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นแผนการเติบโตของธุรกิจ การบูรณาการที่ประสบความสำเร็จสำหรับกิจการที่เข้าซื้อเชิงกลยุทธ์อย่างธุรกิจสารลดแรงตึงผิวในละตินอเมริกา และธุรกิจบรรจุภัณฑ์ในประเทศเวียดนาม นอกจากนี้ ทีมผู้บริหารได้ทุ่มเททำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และมุ่งมั่นต่อเป้าหมายความยั่งยืนตาม "วิสัยทัศน์ ปี 2563' (Vision 2030) ของบริษัทฯ ซึ่งรวมถึงเทคโนโลยีการรีไซเคิล และการนำวัตถุดิบชีวมวลมาใช้ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ อีกทั้งโครงการปรับเปลี่ยนต้นทุนที่กำลังดำเนินอยู่อย่าง Project Olympus ก็สามารถเพิ่มประสิทธิผลการดำเนินงานในรอบหนึ่งปีรวมมูลค่า 449 ล้านเหรียญสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานประจำปีที่แข็งแกร่งได้รับผลกระทบจากความท้าทายที่มากกว่าปกติในไตรมาส เนื่องด้วยความกังวลต่อภาวะชะลอตัวและรอบการขนส่งที่ลดลง ส่งผลให้ลูกค้าต้องระบายสต๊อกสินค้าเป็นจำนวนมาก บริษัทฯ มี Core EBITDA ในไตรมาสที่ 4 ปี 2565 เท่ากับ 264 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 43 เมื่อเทียบปีต่อปี ส่วนรายได้สำหรับไตรมาสลดลงร้อยละ 1 เท่ากับ 3.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ การล็อกดาวน์เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดในประเทศจีนยังคงดำเนินต่อเนื่องจนถึงไตรมาสสุดท้ายของปี ทำให้อุปสงค์ของโรงงานลดลงทั่วทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์ของอินโดรามา เวนเจอร์ส และส่งผลให้กำไรน้อยลงจากราคาขายที่ลดลงและต้นทุนที่สูงขึ้น ในขณะที่ต้นทุนพลังงานและสาธารณูปโภคที่สูงขึ้นยังคงส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานในยุโรป เนื่องจากสงครามในประเทศยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อต่อไปในฤดูหนาว
ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันและเสริมความยืดหยุ่นของธุรกิจ อินโดรามา เวนเจอร์ส ได้ประเมินสินทรัพย์ของธุรกิจ Fibers ในยุโรป และโรงงาน PTA ในเอเซีย ซึ่งมีผลการดำเนินงานต่ำกว่าคาด ทำให้เกิดรายการเงินสดด้อยค่า 7 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสที่ 4 ปี 2565 และผลกระทบที่ไม่ใช่เงินสดมูลค่า 253 ล้านเหรียญสหรัฐ จากผลดังกล่าว บริษัทฯ จึงคาดว่าจะมี EBITDA เพิ่มขึ้นอีก 38 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2566 และจะเพิ่มขึ้นอีกถึง 65 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2568
คณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติการจ่ายเงินปันผล 1.6 บาทต่อหุ้นทั้งปี ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หนุนด้วย EPS 5.39 บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 18 เมื่อเทียบปีต่อปี
นายดีลิป กุมาร์ อากาวาล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส กล่าวว่า "ในปี 2564 เราได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำตลาดที่แข็งแกร่งของเรา รูปแบบการดำเนินธุรกิจแบบบูรณาการระดับโลกของเรา และกลุ่มผลิตภัณฑ์หลากหลายที่ตอบสนองความต้องการใช้ในชีวิตประจำวันของผู้บริโภค ช่วยให้เราสามารถสร้างรายได้ที่อยู่เหนือความผันผวนตลอดวงจรธุรกิจ เช่นเดียวกับที่เราทำระหว่างช่วงการแพร่ระบาดที่ผ่านมา ทีมงานของเราสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิผลในทุกภูมิภาคที่เราดำเนินธุรกิจท่ามกลางความผันผวนทั่วโลก ทั้งนี้ ความต้องการพื้นฐานของผู้บริโภคยังคงแข็งแกร่ง และเราคาดว่าการลดสต๊อกสินค้าซึ่งกระทบปริมาณขายในไตรมาสที่ 4 จะฟื้นตัวในครึ่งแรกของปีนี้"
ที่มา: อินโดรามา เวนเจอร์ส