โมดูลซีรีส์ท็อปคอนใช้เซลล์ประสิทธิภาพสูงชนิด N ขนาด 182 มม. ซึ่งนับเป็นความก้าวหน้าในด้านประสิทธิภาพของโมดูลและการผลิตพลังงาน ช่วยให้โมดูลเซลล์แสงอาทิตย์จำนวนมากผลิตไฟฟ้าได้ในอัตราการแปลงพลังงานที่ 22.5% และกำลังไฟ 580 วัตต์ ช่วยลดต้นทุนกิโลวัตต์ชั่วโมง (kWh) สำหรับโครงการเซลล์แสงอาทิตย์แบบกระจายและโรงไฟฟ้าภาคพื้นดินขนาดใหญ่
เมื่อเทียบกับชิ้นส่วนแบบดั้งเดิมแล้ว ชิ้นส่วนในซีรีส์ท็อปคอนได้รับการปรับปรุงด้วยเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมใหม่ เช่น หน้าสัมผัสแบบพาสซิเวชัน มัลติมาสเตอร์กริดที่ละเอียดเป็นพิเศษ บรรจุภัณฑ์ที่มีความหนาแน่นสูง และมีประสิทธิภาพที่เหนือกว่าในแง่ของค่าสัมประสิทธิ์อุณหภูมิพลังงาน ความต้านทานการสลายตัวของแสง และการทำงานในสภาวะที่มีแสงน้อย
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เมื่ออัตราการแปลงของเซลล์แสงอาทิตย์เริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ อัตราการแปลงของเซลล์ชนิด Passivated Emitter and Rear Cell หรือ PERC ที่นิยมใช้ทั่วไปนั้นใกล้เคียงกับขีดจำกัดประสิทธิภาพทางทฤษฎีที่ 24.5% ของเซลล์ประเภท P ในขณะที่ ชิ้นส่วนของท็อปคอนซึ่งมีประสิทธิภาพการแปลงสูงกว่า คาดว่าจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางของเซลล์ชนิดโมโนคริสตัลไลน์ที่มีประสิทธิภาพสูง
"ความเป็นเลิศในเรื่องโหลดและความเสถียร ทำให้เราขยายการรับประกันโมดูลซีรีส์ท็อปคอนเป็น 30 ปี ซึ่งเหนือกว่ามาตรฐานตลาดทั่วไป" หยาง หยง (Yang Yong) ซีอีโอของเซร่าฟิม กล่าว พร้อมเสริมว่า โมดูลซีรีส์นี้มีให้เลือกหลายขนาด ตอบโจทย์การใช้งานได้หลากหลาย
"ด้วยการขยายเค้าโครงความจุของโมดูลท็อปคอน ชนิด N ทำให้เซร่าฟิมจะยังคงพัฒนาและจำหน่ายโมดูลเซลล์แสงอาทิตย์ที่มีประสิทธิภาพการแปลงสูงและมีคุณภาพสูงต่อไป เพื่อตอบสนองความต้องการและสำรวจเส้นทางที่ดีกว่าในการพัฒนานวัตกรรมให้กับอุตสาหกรรมเซลล์แสงอาทิตย์" โพลาริส หลี่ (Polaris Li) ประธานบริษัทเซร่าฟิม กล่าว
ทั้งนี้ โมดูลซีรีส์ท็อปคอนอยู่ในขั้นตอนการผลิตเต็มรูปแบบแล้ว และคาดว่าจะมีกำลังการผลิตได้ 4 กิกะวัตต์ (GW) ภายในสิ้นปี 2566 ซึ่งมีปริมาณเพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการในตลาด
ลิงก์ข่าวต้นฉบับ: https://en.imsilkroad.com/p/333078.html
รูปภาพ - https://mma.prnewswire.com/media/2016188/image1.jpg
คำบรรยายภาพ - ภาพโมดูลแสงอาทิตย์ซีรีส์ท็อปคอน ชนิด N ชุดใหม่