บริษัท ทีซีซี แอสเซ็ทส์ (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้พัฒนาโครงการวัน แบงค็อก บนพื้นที่กว่า 108 ไร่ ประกอบด้วยอาคารสำนักงานแบบพรีเมียมเกรด
เอ จำนวน 5 อาคาร พื้นที่รีเทล 4 โซน โรงแรมลักซ์ชัวรี่และไลฟ์สไตล์ จำนวน 5 แห่ง ที่พักอาศัยระดับลักซ์ชัวรี่ 3 อาคาร พื้นที่เปิดโล่งและพื้นที่สีเขียว มากกว่า 50 ไร่ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก รวมถึงพื้นที่จัดแสดงศิลปะสาธารณะและพื้นที่แห่งการเรียนรู้และความคิดสร้างสรรค์ โดยวัน แบงค็อก ได้รับการพัฒนาออกแบบระบบสาธารณูปโภคที่เพียบพร้อมไปด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะที่ยั่งยืนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการดำเนินงานรวมถึงความปลอดภัยและประสบการณ์การใช้งานของลูกค้า วัน แบงค็อก มุ่งสู่การรับรองโดยมาตรฐาน LEED for Neighbourhood Development ระดับ Platinum แห่งแรกในไทย และมาตรฐานรับรองอาคาร WELL เพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อยู่อาศัยและผู้ใช้อาคาร
นาย ลิม ฮัว เทียง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โครงการ วัน แบงค็อก กล่าวว่า "โครงการวัน แบงค็อก เป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ซึ่งต้องอาศัยการดูแลโดยบริษัทชั้นนำที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการแบบองค์รวม ครอบคลุมตั้งแต่การวางแผนงาน การบริหารจัดการระบบอาคารต่างๆ ตลอดจนการควบคุมคุณภาพให้เป็นไปตามมาตรฐานที่ดีที่สุด ซึ่งเจแอลแอลมีความโดดเด่นในด้านการบริหารจัดการอาคารและโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมี่ยมในประเทศไทย เรามั่นใจว่าความร่วมมือในครั้งนี้ วัน แบงค็อก จะได้รับการบริหารจัดการด้านปฎิบัติการและการดูแลบำรุงรักษา ด้วยเทคโนโลยีและแนวทางที่ทันสมัย ตลอดจนบริการที่เป็นเลิศ"
ด้าน มร. ไมเคิล แกลนซี กรรมการผู้จัดการ เจแอลแอล กล่าวว่า "อสังหาริมทรัพย์มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางแห่งอนาคตของระบบนิเวศน์เมือง ซึ่งโครงการ วัน แบงค็อก ถือเป็นกรณีศึกษาที่ดีในเรื่องนี้ เพราะ วัน แบงค็อก ออกแบบตามแนวคิดสร้างเมืองที่รองรับอนาคต ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ที่ให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนโดยคำนึงถึงผู้คนเป็นหลัก ซึ่งจะช่วยให้ผู้อยู่อาศัย ธุรกิจและชุมชนเติบโตไปด้วยกัน เจแอลแอลมีความภาคภูมิใจที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้บริหารจัดการอาคารสำหรับโครงการที่สำคัญนี้"
ภายใต้สัญญาการให้บริการครั้งนี้มีระยะเวลา 5 ปี กำหนดให้เจแอลแอล เป็นผู้ให้บริการแบบครบวงจร นับตั้งแต่การดูแลการส่งมอบงานหลังการก่อสร้างแล้วเสร็จ ไปจนถึงการบริหารจัดการอาคาร สถานที่ โดยในเบื้องต้นเจแอลแอลจะมีทีมบริหารจัดการอาคารราว 200 คน เข้าประจำการอยู่ที่ วัน แบงค็อก ตั้งแต่ปีนี้ เพื่อรองรับการเปิดเฟสแรกของโครงการฯ ในไตรมาสแรก ปี พศ. 2567 และจะขยายทีมเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 300 คน เมื่อการก่อสร้างของโครงการเสร็จสิ้นสมบูรณ์
"การได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บริหารจัดการอาคารโครงการวัน แบงค็อก ในครั้งนี้ ถือเป็นการตอกย้ำสถานภาพของเจแอลแอลในฐานะบริษัทชั้นนำด้านการจัดการบริหารอาคารอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมียมของประเทศไทย โดยปัจจุบันเรามีอสังหาริมทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการคิดเป็นพื้นที่รวมกว่า 7.5 ล้านตารางเมตร นอกจากนี้ เรายังเป็นผู้บริหารจัดการโครงการเชิงพาณิชย์ต่างๆที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน LEED มากที่สุดในประเทศไทยด้วย" มร. แกลนซีกล่าว
"เจแอลแอลได้รับมอบหมายให้มีบทบาทเพิ่มขึ้นในการดูแลโครงการวัน แบงค็อก ซึ่งก่อนหน้าที่ได้รับการแต่งตั้งในครั้งนี้ ได้ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการอาคารให้กับโครงการวัน แบงค็อก เริ่มตั้งแต่ในช่วงของการออกแบบ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าโครงการฯจะสามารถดำเนินงานและได้รับการบริหารจัดการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ และถูกต้องตามมาตรฐานสากลที่กำหนดไว้ อีกทั้งยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหนึ่งในตัวแทนจัดหาผู้เช่าให้กับอาคารสำนักงานสำหรับเฟสแรกของโครงการวัน แบงค็อก เมื่อไม่นานมานี้ การได้รับการแต่งตั้งในครั้งนี้นับว่ามีความสำคัญต่อเจแอลแอลอย่างมาก เพราะนอกจากจะเป็นสัญญาการให้บริการบริหารจัดการอาคารรายการที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เจแอลแอลเคยได้รับในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว ยังเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ในความสามารถด้านการบริหารจัดการ" มร. แกลนซีกล่าวทิ้งท้าย
นอกจากนี้ เจแอลแอลยังร่วมทำงานกับทีมสมาร์ทซิตี้ของ วัน แบงค็อก ในการช่วยดูแล Command Centre หรือศูนย์ควบคุมการสั่งการ ที่มีการใช้แพลทฟอร์มอัจฉริยะต่างๆ ที่ล้ำหน้าที่สุดด้านการบริหารจัดการอาคาร ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าเกี่ยวกับระบบการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ และความรู้เชิงปฏิบัติการสำหรับการติดตามผลการตรวจสอบอาคารและสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการแบบเรียลไทม์ โดยเทคโนโลยีที่ใช้สำหรับ วัน แบงค็อก จะสามารถตรวจจับบันทึกข้อมูลด้านการปฏิบัติการของอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ผ่านระบบเซ็นเซอร์และระบบต่างๆ มากมาย อาทิ ระบบบริหารจัดการและควบคุมอาคารอัตโนมัติ และระบบรักษาความปลอดภัยในจุดต่างๆ ที่มีความเปราะบาง ครอบคลุมการตรวจวัดอุณหภูมิ ความชื้นสัมพัทธ์ แสงสว่าง แรงสั่นสะเทือน และการตรวจจับกรณีเกิดน้ำท่วม เป็นต้น การมีศูนย์รวมการจัดเก็บข้อมูล ช่วยให้ทีมงานบริหารจัดการอาคารสามารถระบุแนวโน้มและความผิดปกติต่างๆ ติดตามตรวจสอบและปรับปรุงบริการต่างๆ ด้านอาคาร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความมั่นคงปลอดภัย และความโปร่งใสในการปฏิบัติการและการบำรุงรักษา รวมถึงช่วยลดต้นทุนและประหยัดพลังงานอีกด้วย
ที่มา: แบรนด์เด็ด ดิ เอเจนซี่