นายชนะพันธุ์ กิตติเกษมศักดิ์ ประธานกรรมการ บริษัท คิงสเตลล่า กรุ๊ป จำกัด (King Stella Group Co.,Ltd. หรือ KSG) เปิดเผยว่า "สำหรับการดำเนินธุรกิจของ บริษัทฯ หลังจากที่ได้ดำเนินธุรกิจมาเป็นระยะเวลา 60 ปี ในปี 2566 นี้ บริษัทฯ ได้ทำการปรับเปลี่ยนโครงสร้างกลุ่มบริษัทในเครือ ซึ่งเดิมมีอยู่ด้วยกัน 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท สยามพูลทรัพย์ อินเตอร์เคมีคอล จำกัด, บริษัท แบร์ริ่ง เพ็ทแคร์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท คิงส์สเตลล่า แลบบอราทอรี่ จำกัด เข้ามาอยู่ภายใต้บริษัทเดียวกัน คือ "บริษัท คิงสเตลล่า กรุ๊ป จำกัด (King Stella Group Co.,Ltd.หรือ KSG)" เพื่อทำให้การดำเนินธุรกิจสอดรับกับสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงทำให้การทำงานกระชับกว่าที่ผ่านมา
สำหรับในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้มีการขยายธุรกิจมาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ในปัจจุบันมีอยู่ด้วยกัน 5 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ Air Care, Home Care, Car Care, Pet Care และ Personal Care สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ในหลากหลายตลาด โดยเฉพาะในกลุ่ม Personal Care ที่มีเจลล้างมือ "King's Stella Hand Sanitizer" เป็นสินค้าที่มียอดขายดีเป็นอย่างมากในช่วงที่มีการแพร่ระบาดโควิด-19 ซึ่งมียอดขายมากกว่า 100 ล้านบาทในช่วงนั้น
นอกจากนี้ คิงส์สเตลล่ายังเป็นสเปรย์ปรับอากาศรายแรกในไทยกับ "King's Stella Classic Series" ที่ช่วยให้บรรยากาศ work from home ดีขึ้น และ "King's Stella Freshy Bear Gel" เจลน้ำหอมปรับอากาศหมีคิงส์ หรือที่เรียกติดปากว่า "เจลหมีซิ่ง"
ขณะที่กลุ่ม Pet Care ซึ่งมีแบรนด์เรือธงอย่าง "BEARING Petcare" ในการทำตลาด โดยมีผลิตภัณฑ์แชมพูกำจัดเห็บหมัดสำหรับสัตว์เลี้ยง "BEARING Tick & Flea Dog Shampoo" และขนมสำหรับสุนัขอย่าง "BEARING Jerky Treats Soft Snack" ผลิตจากเนื้อไก่แท้ 100% รวมทั้งขนมแมวเลีย "BEARING Cat Liquid Snack" สูตรโซเดียมต่ำ แต่โปรตีนสูง ที่มีสโลแกนว่า "มนต์เรียกแมว"
ส่วนกลุ่มธุรกิจ Car Care โดยมี President's WaxOne เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกตลาดคาร์แคร์ในไทยนับตั้งแต่ปี 2516 โดยเป็น สเปรย์บำรุงรักษาเครื่องหนังรายแรกของไทย และยังครองความเป็นผู้นำตลาดในเวียดนามอีกด้วย โดยปัจจุบันบริษัทมีสินค้าอยู่ด้วยกัน 2 ซีรีส์ ได้แก่ WaxOne Easy จับกลุ่มคอนซูเมอร์หรือลูกค้าทั่วไป วางจำหน่ายในช่องทางโมเดิร์นเทรดและร้านค้าดั้งเดิม มีราคาจับต้องได้ ไม่สูงมากนัก และ WaxOne Gold ที่ถูกพัฒนามาเป็นอย่างดี ทำให้เป็นสินค้าที่มี Performance สูง เทียบเท่าสินค้านำเข้า"
ทั้งนี้ นางวิลาสินี กิตติเกษมศักดิ์ รองประธานกรรมการ บริษัท คิงสเตลล่า กรุ๊ป จำกัด (King Stella Group Co.,Ltd. หรือ KSG) เสริมว่า "สำหรับในปีนี้ บริษัทฯ ได้เตรียมออกสินค้าใหม่ 60 รายการ แบ่งเป็น Pet Care 40%, Air Care และ Home Care รวมกัน 40% และ Car Care อีก 20% โดยสำหรับตลาดสเปรย์ปรับอากาศนั้น ยังมีโอกาสในการเติบโตอยู่มาก ปัจจุบันบริษัทฯ ติดTOP 3 ของตลาดและคาดหวังว่าจะเป็นเบอร์หนึ่งภายใน 5 ปี
นอกจากการทำตลาดที่ผ่านมา บริษัทฯ ยังได้ขยายกลุ่มลูกค้าให้เด็กลง จากเดิมกลุ่มลูกค้าหลักจะเป็นผู้บริโภคอายุเฉลี่ย 45 ปี จึงพยายามขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มคนที่อายุน้อยลงในช่วง 25-34 ปี เนื่องจากเป็นวัยทำงานที่มีกำลังซื้อสินค้า ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทฯ ก็ออกแบบสินค้าให้มีการตอบโจทย์กลุ่มคนดังกล่าวมากขึ้น รวมถึงยังต้องตอบสนอง Lazy Economy ที่จะต้องนำพฤติกรรมดังกล่าวไปใช้ในทุกสินค้าของบริษัทฯ"
นอกจาก การเพิ่มความแข็งแกร่งด้านธุรกิจ และการเดินหน้าปรับโครงสร้างบริษัทในเครือแล้ว KSG ยังคงมีการเดินหน้าสร้างกิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมขององค์กร ทั้งภายในและภายนอกองค์กรอย่างต่อเนื่อง
โดย นางวิลาสินี พูดถึงเรื่องดังกล่าวว่า "บริษัทฯ มุ่งมั่นดำเนินกิจการ ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมขององค์กร ภายใต้หลักจริยธรรมและการจัดการที่ดี โดยรับผิดชอบสังคมและสิ่งแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกองค์กร อันนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านเศรษฐกิจ, สังคม และสิ่งแวดล้อม ในนิยามใหม่ "EMPOWER BETTER LIVING FOR ALL ส่งต่อชีวิตที่ดีกว่า สร้างสรรค์คุณค่าเพื่อทุกคน"
นอกจากนี้ KSG หยิบ BCG มาใช้เพื่อเป็น model เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาอย่างยั่งยืน Sustainable Development Goals : SDGs ด้วยการพัฒนาสินค้าให้มีนวัตกรรมและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยมีมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักรเพื่อประหยัดพลังงาน มูลค่า 20 ล้านบาท การใช้พลังงานทดแทนด้วยการติดตั้ง Solar Rooftop 300kWh มูลค่ากว่า 10 ลบ. เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 222,395 kgCO2e หรือเทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 639,617 ต้น/ปี, การใช้ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ (พาราโบล่าโดม) มูลค่ากว่า 5 ลบ. เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และด้วยความตั้งใจจริง จึงส่งผลให้ ผลิตภัณฑ์สเปรย์ปรับอากาศคิงส์สเตลล่า และไฮจีนิค ได้รับการรับรอง Carbon footporint product เป็นรายแรกของประเทศไทยอีกด้วย" นางวิลาสินี กล่าว
ในขณะที่ นายชุติพนธ์ กิตติเกษมศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คิงสเตลล่า กรุ๊ป จำกัด (King Stella Group Co.,Ltd. หรือ KSG) ผู้บริหาร Gen 3 กล่าวว่า "หนึ่งในกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้บริษัทฯ บรรลุเป้าหมายการดำเนินธุรกิจที่เราวางไว้นั้น มองว่าการขยายตลาดไปยังต่างประเทศจะทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดดเป็นอย่างมาก จากปัจจุบันได้มีการส่งออกไปยัง 13 ประเทศ คิดเป็นสัดส่วน 15-20% โดยตลาดส่งออกมีการเติบโตค่อนข้างดีตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมา และแผนงานที่จะโฟกัสคือการเข้าไปลงทุนสร้างเครือข่าย Global Distribution เพื่อจัดส่งสินค้าให้ถึงผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด จากเดิมที่ตลาดส่งออกจะเป็นในลักษณะของผู้นำเข้าซื้อไปเพื่อจำหน่ายต่อ แต่จากนี้จะมีการลงทุนในประเทศปลายทางที่ตลาดมีศักยภาพ เนื่องจากสามารถดูแลลูกค้าได้ดีกว่า
โดยที่ผ่านมาได้ไปเปิดบริษัทที่ประเทศเวียดนาม และไปหา Distribution ปลายทาง โดยมองว่าการที่เข้าไปลงทุนเปิดบริษัทฯ จะทำให้เข้าใจตลาดและคนท้องถิ่นได้ดี สามารถติดตามการขายและทำการตลาดได้ดียิ่งขึ้น โดยพบว่าผลตอบรับในเวียดนามค่อนข้างดี บริษัทฯ จึงจะทำโมเดลนี้ไปประเทศอื่น อาทิ อินเดีย ที่ได้มีการไปสำรวจตลาดแล้ว เนื่องจากเป็นตลาดขนาดใหญ่ มีประชากรจำนวนมาก เบื้องต้นน่าจะเปิดในไตรมาส 2 และจะให้ความสำคัญกับการขยายโมเดลดังกล่าวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ ฟิลิปปินส์ น่าจะสามารถเข้าไปในช่วงไตรมาส 4 และมาเลเซียที่จะเข้าไปในปี 2567"
"สำหรับแนวทางในการดำเนินธุรกิจในช่วง 5 ปีนับจากนี้ บริษัทฯ คาดว่าจะต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 250 ล้านบาท เพื่อทำการพัฒนาสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดและทำการตลาดให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เพื่อผลักดันเป้าหมายรายได้ให้เพิ่มขึ้นมาเป็น 2,000 ล้านบาท โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาแม้ว่าจะมีวิกฤติจากการแพร่ระบาดโควิด-19 แต่ก็ยังมีการเติบโตเฉลี่ย 12% ต่อปี มองว่าจากปัจจัยบวกของเศรษฐกิจภายในประเทศ รวมถึงการขยายตลาดของบริษัทฯ ในปีนี้จะทำให้มีรายได้ถึง 1,000 ล้านบาท" นายชุติพนธ์ กล่าวทิ้งท้าย
ที่มา: โฟร์ฮันเดรท