บลจ.ไทยพาณิชย์ เปิดกองทุน "SCBGTTG4" ทริกเกอร์ฟันด์ ธีม US Tech Focused โอกาสสร้างผลตอบแทนจากเป้าหมายทริกเกอร์ 6% ใน 6 เดือน เสนอขาย 29 มี.ค. - 4 เม.ย. นี้

พุธ ๒๙ มีนาคม ๒๐๒๓ ๐๙:๕๔
นางนันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด หรือ SCBAM เปิดเผยว่า ภาพรวมของเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยเฉพาะจากภาคบริการ และภาคแรงงานที่มีความแข็งแกร่ง ประกอบกับผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ส่งสัญญาณว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยน่าจะใกล้ถึงจุดสูงสุดแล้ว จึงเป็นปัจจัยหนุนให้ตลาดหุ้นโลก ซึ่งรวมถึงตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยที่ผ่านมาสินทรัพย์ประเภทหุ้น โดยเฉพาะ Growth Stock หรือ หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งเป็นหุ้นคุณภาพสูง (High-quality stocks) จะ outperform กว่าสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Yield) เริ่มปรับลด (ดอกเบี้ยเข้าสู่จุดสูงสุด) บริษัทฯ จึงมีความสนใจในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในสหรัฐฯ ด้วยปัจจัยหนุนจากการที่เทคโนโลยี หรือนวัตกรรมรูปแบบใหม่ๆ เข้ามามีบทบาทต่อการเปลี่ยนแปลงของการดำเนินธุรกิจและพฤติกรรมของผู้บริโภค และมองว่ามีโอกาสที่หุ้นกลุ่มนี้จะกลับมามีผลการดำเนินงานและกำไรที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจากที่ชะลอตัวในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ จึงมีแผนเสนอขายกองทุนทริกเกอร์ฟันด์ เพื่อหาโอกาสสร้างผลตอบแทนระยะสั้นกับหุ้นธีม US Tech Focused ผ่านกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Global Thematic Trigger 4 หรือ SCBGTTG4 โดยตั้งเป้าหมายการปรับตัวของมูลค่าหน่วยลงทุน (Trigger) อยู่ที่ 6% ภายในระยะเวลา 6 เดือน นับแต่วันจดทะเบียนกองทรัพย์สินของโครงการ เริ่มเสนอขายครั้งแรกระหว่างวันที่ 29 มีนาคม ถึง 4 เมษายน 2566 นี้ ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท

กองทุน SCBGTTG4 เป็นกองทุนรวมผสมที่เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนต่างประเทศที่มีความเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี เช่น US Tech, Semiconductors, Cybersecurity และ AI Boom โดยกองทุนมีเงื่อนไขการทริกเกอร์ที่แบ่งออกเป็น 2 ครั้งระหว่างทาง เพื่อช่วยลดความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้น ภายใต้กรอบระยะเวลา 6 เดือน คือ ครั้งที่ (1) กรณี ณ วันทำการใด ที่มูลค่าหน่วยลงทุนของกองทุนมีการปรับตัวมากกว่า/เท่ากับ 10.30 บาทต่อหน่วย เทียบเท่า 3% (ของมูลค่าที่ตราไว้ 10 บาท หรือเท่ากับ 0.3 บาทต่อหน่วย) บริษัทจัดการจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติเพียงครั้งเดียวนับแต่วันจดทะเบียนกองทรัพย์สินของโครงการเป็นกองทุนรวม และ ครั้งที่ (2) ในกรณีเข้าเงื่อนไขการเลิกกองทุนโดยหาก ณ วันทำการใดก็ตามเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนมีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 10.62 บาทต่อหน่วย บริษัทจัดการจะพิจารณารับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติในอัตราไม่ต่ำกว่า 10.60 บาทต่อหน่วย โดยมีกำหนดการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนภายใน 5 วันทำการ นับแต่วันที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว และจะชำระเงินค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติภายใน 5 วันทำการนับแต่วันทำการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติ โดยบริษัทจัดการขอสงวนสิทธินำเงินไปลงทุนต่อยังกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ตราสารหนี้ระยะสั้นหรือกองทุนรวมตลาดเงินอื่นที่อยู่ภายใต้การบริหารของบริษัทจัดการ อย่างไรก็ตาม หากครบกำหนดระยะเวลา 6 เดือนนับแต่วันจดทะเบียนกองทรัพย์สินของโครงการเป็นกองทุนรวมแล้ว ไม่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวข้างต้น บริษัทจัดการจะเปิดให้ผู้ถือหน่วยลงทุนสามารถซื้อ/ขาย/สับเปลี่ยนหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการซื้อขายหน่วยลงทุนที่บริษัทจัดการกำหนด จนกว่าจะเข้าเงื่อนไขการเลิกกองตามเงื่อนไขที่ระบุไว้

นางนันท์มนัสกล่าวเพิ่มเติมว่า "หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ มีการฟื้นตัวมาอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยบวกด้านแผนการควบคุมค่าใช้จ่ายของบริษัทเทคฯ และการเร่งพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของผลการดำเนินงาน ซึ่งบริษัทฯ มองว่าหุ้นเทคฯ ที่คัดเลือกมาทั้ง 4 กลุ่ม ล้วนมีความสามารถด้านการแข่งขันทางตลาด โดยจะพบว่า หุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี (US Tech) เป็นกลุ่มเดียวที่นักวิเคราะห์ปรับเพิ่มการคาดกาณ์ผลการดำเนินงาน (Earnings reversions) เมื่อเทียบกับกลุ่มอุตสาหกรรมอื่น โดยราคาหุ้นในกลุ่มนี้ได้ปรับตัวลงแรงในช่วงปีที่ผ่านมา จากปัจจัยกดดันด้านความกังวลของภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้ปัจจุบันราคาหุ้นในกลุ่มมีอัตราส่วน P/E ที่ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ย อีกทั้ง การมาของ ChatGPT ได้ทำให้ผู้คนหันมาให้ความสนใจในตลาด AI เพิ่มขึ้นอย่างมาก (AI Boom) จึงมีผลให้บริษัทด้านเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในตลาด เร่งปรับตัวออกผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โดย IDC หรือ Internet Data Center ได้คาดการณ์รายได้ทั่วโลกของตลาด AI จะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 19% ต่อปี และประเมินว่าอาจแตะระดับ 9 แสนล้าน USD ในปี 2026 และส่งผลให้หุ้นกลุ่มเทคฯ อื่นๆ เช่น Semiconductors และ Cybersecurity มีแนวโน้มจะได้ประโยชน์เพิ่มเติมจากการมาของ AI โดยหุ้นเทคฯ กลุ่ม Semiconductors ได้รับปัจจัยบวกจากการเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า และอุปกรณ์สื่อสาร ในขณะที่หุ้นเทคฯ กลุ่ม Cybersecurity ได้รับปัจจัยบวกจากการที่ผู้บริหารองค์การล้วนตระหนักถึงความสำคัญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ จึงมีการเพิ่มงบลงทุนในส่วนนี้ในอัตราเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) อยู่ที่ 13% จึงเป็นช่วงที่จังหวะเหมาะสมต่อการเข้าซื้อหุ้นที่มีโอกาสเติบโตสูง ในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยเข้าใกล้จุดสูงสุด เพื่อหาโอกาสสร้างผลตอบแทนได้"

ที่มา: หลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๓๑ ม.ค. รู้จักโรคอ้วนดีแล้ว.จริงหรือ?
๓๑ ม.ค. บมจ.ไทยเซ็นทรัลเคมี ร่วมกับ MBK ส่งมอบปฏิทินในกิจกรรม ปฏิทินเก่ามีค่า เราขอ
๓๑ ม.ค. BSRC ออกหุ้นกู้รอบใหม่ 8,000 ล้านบาท ยอดจองเกินเป้า ตอกย้ำความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน
๓๑ ม.ค. คปภ. ร่วมสัมมนาประกันภัย ครั้งที่ 29 เตรียมรับมือความเสี่ยงอุบัติใหม่ พลิกโฉมธุรกิจประกันภัยสู่ความท้าทายในอนาคต
๓๑ ม.ค. มอบของขวัญให้กับครอบครัวของคุณช่วงวันหยุดพิเศษที่ สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท
๓๑ ม.ค. OR เปิดตัว CEO คนใหม่ หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ มุ่งผลักดันไทยสู่ Oil Hub แห่งภูมิภาค พร้อมขับเคลื่อนองค์กรด้วยดิจิทัล-นวัตกรรม
๓๑ ม.ค. เดลต้า ประเทศไทย คว้ารางวัล ASEAN's Top Corporate Brand ประจำปี 2567
๓๑ ม.ค. โรงแรมอลอฟท์ กรุงเทพ สุขุมวิท 11 พลิกโฉมใหม่ สุดโมเดิร์น! พร้อมเปิดตัว w xyz bar ตอกย้ำความสนุกในแบบฉบับ
๓๑ ม.ค. PAUL JOE เปิดตัว GLOSSY ROUGE ต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ 2025
๓๑ ม.ค. บริษัท โกซอฟท์ (ประเทศไทย) ได้รับเกียรติบัตรศูนย์ รับเรื่องและแก้ไขปัญหาให้กับผู้บริโภคระดับดีเด่น จาก สคบ. และการรับรองมาตรฐาน ISO