ฟิทช์คงอันดับเครดิต บมจ. บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ ที่ BBB+(tha) แนวโน้มเครดิตยังคงเป็นลบ

พุธ ๐๕ เมษายน ๒๐๒๓ ๑๕:๔๘
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Rating) ระยะยาวของบริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BAFS ที่ 'BBB+(tha)' แนวโน้มอันดับเครดิตยังคงเป็นลบ ในขณะเดียวกัน ฟิทช์ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นของบริษัทฯ ที่ 'F2(tha)' และคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวสำหรับหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิและไม่มีหลักประกันของบริษัทฯ ที่ 'BBB+(tha)'

แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ สะท้อนความเสี่ยงที่อัตราส่วนหนี้สินของ BAFS ซึ่งวัดโดยอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA Net Leverage) อาจยังคงอยู่สูงกว่า 6 เท่าในปี 2566 และหลังจากนั้น หากธุรกิจเติมน้ำมันอากาศยานฟื้นตัวช้ากว่าที่ฟิทช์คาดไว้

ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินของ BAFS จะยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องในปี 2566 และ 2567 จากการฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญของธุรกิจเติมน้ำมันอากาศยาน หลังจากที่เกือบทุกประเทศได้มีการเปิดประเทศ ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วน EBITDA Net Leverage ของ BAFS จะลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 6 เท่า ในปี 2566 และประมาณ 5 เท่า ในปี 2567 (ปี 2565 อยู่ที่ 15.2 เท่า) อย่างไรก็ตาม ปริมาณการเดินทางทางอากาศอาจจะอ่อนแอกว่าที่ฟิทช์คาด เนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่อาจเติบโตที่ช้าลง และการกลับมาของนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนที่ช้ากว่าที่คาด ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อการฟื้นตัว และการลดอัตราส่วนหนี้สินของ BAFS

ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต
อัตราส่วนหนี้สินที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง: ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินของ BAFS ลดลงอย่างต่อเนื่องในปี 2566-2567 จากการปรับตัวดีขึ้นของกระแสเงินสดจากธุรกิจเติมน้ำมันอากาศยาน ฟิทช์คาดว่าปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยานของ BAFS จะฟื้นตัวกลับมาอยู่ในระดับประมาณร้อยละ 84 ของระดับก่อนการเกิดการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัสในปี 2566 และร้อยละ 98 ในปี 2567

ฟิทช์ไม่ได้ปรับประมาณการในปี 2566-2567 อย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยานในปี 2565 จะต่ำกว่าที่คาด เนื่องจากมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัสในประเทศจีน ในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 โดยปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยานของ BAFS ในปี 2565 อยู่ที่ร้อยละ 49 ของระดับก่อนการเกิดการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัส ซึ่งต่ำกว่าที่ฟิทช์ประมาณการไว้ที่ประมาณร้อยละ 55 การที่ประเทศจีนมีการเปิดประเทศ ตั้งแต่เดือนมกราคม 2566 น่าจะสนับสนุนการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 และปี 2567

กระแสเงินสดสุทธิเป็นบวกแม้ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนจะอยู่ในระดับสูง: ฟิทช์คาดว่า BAFS จะสามารถมีกระแสเงินสดสุทธิ (Free Cash Flow) เป็นบวกในปี 2566 และ 2567 เนื่องจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ปรับตัวสูงขึ้น น่าจะเพียงพอที่จะรองรับค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน และการจ่ายเงินปันผลที่สูงขึ้น ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนของ BAFS น่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับประมาณ 900 ล้านบาท - 1 พันล้านบาทต่อปี ในปี 2566 และ 2567 จาก 287 ล้านบาท ในปี 2565 ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ในโครงการเชื่อมระบบท่อขนส่งน้ำมัน

BAFS ยังคงมีแผนในการขยายธุรกิจพลังงานหมุนเวียน แต่การลงทุนดังกล่าวน่าจะเป็นไปอย่างระมัดระวัง ฟิทช์คาดว่า บริษัทฯ จะดำเนินการขยายธุรกิจดังกล่าวหลังจากปี 2566 อย่างไรก็ตาม การลงทุนโดยใช้หนี้ เหมือนที่เกิดขึ้นในปี 2564 จะทำให้อัตราส่วนหนี้สินเพิ่มขึ้น และทำให้การปรับลดอัตราส่วนหนี้สินล่าช้าออกไปอย่างมาก

สัดส่วนรายได้จากธุรกิจขนส่งน้ำมันทางท่อยังคงอยู่ในระดับต่ำ: สัดส่วนรายได้และกำไรจากบริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ BAFS จะยังคงอยู่ในระดับต่ำในปี 2566 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณน้ำมันที่ขนส่งผ่านระบบท่อขนส่งน้ำมันไปยังภาคเหนือตอนบน น่าจะใช้เวลากว่าที่จะชดเชยกระแสเงินสดที่ลดลงจากการให้สิทธิการบริหารระบบท่อขนส่งน้ำมันในช่วงกรุงเทพฯ ถึงบางปะอิน แก่บริษัทลูกของ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ปริมาณน้ำมันที่ขนส่งผ่านระบบท่อขนส่งน้ำมันไปยังภาคเหนือตอนบนในปี 2565 อยู่ต่ำกว่าที่บริษัทฯ ประมาณการไว้ประมาณร้อยละ 20 ฟิทช์คาดว่าโครงการเชื่อมระบบท่อขนส่งน้ำมัน จะทำให้ปริมาณน้ำมันที่ขนส่งผ่านท่อขนส่งน้ำมันไปยังภาคเหนือ เพิ่มขึ้นในปี 2568

สถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งในธุรกิจเติมน้ำมันอากาศยาน: BAFS เป็นผู้ให้บริการคลังเก็บน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน (Depot Service) และเครือข่ายท่อจ่ายน้ำมันอากาศยาน (Hydrant Pipeline Network) แต่เพียงรายเดียว และเป็นผู้ให้บริการหลักในการเติมน้ำมันอากาศยาน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นท่าอากาศยานนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย รวมถึงเป็นผู้ให้บริการเติมน้ำมันอากาศยานแต่เพียงรายเดียว ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง ซึ่งเป็นท่าอากาศยานนานาชาติที่รองรับสายการบินต้นทุนต่ำ BAFS อยู่ในธุรกิจที่มีการแข่งขันน้อย เนื่องจากผู้ให้บริการต้องได้รับสัมปทานจากท่าอากาศยานนั้นๆ จึงจะให้บริการได้

ความเสี่ยงต่อความผันผวนของราคาน้ำมันที่จำกัด: BAFS ไม่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาน้ำมัน เนื่องจาก BAFS จะเรียกเก็บเฉพาะค่าบริการเติมน้ำมันจากบริษัทน้ำมันเท่านั้น (โดยบริษัทน้ำมันเป็นผู้ขายน้ำมันให้แก่สายการบิน) นอกจากนี้ ต้นทุนหลักของ BAFS เป็นค่าสัมปทานซึ่งเป็นอัตราที่ตกลงกันก่อนตามสัญญา ทำให้อัตราส่วนความสามารถในการทำกำไรของ BAFS ค่อนข้างคงที่ อีกทั้งธุรกิจเติมน้ำมันอากาศยานเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันจำกัด เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ต้องได้รับสัมปทานในการดำเนินธุรกิจ

รายได้ที่สม่ำเสมอจากธุรกิจพลังงานหมุนเวียน: การที่ BAFS ได้ขยายธุรกิจไปยังธุรกิจพลังงานหมุนเวียน น่าจะช่วยสนับสนุนสถานะทางธุรกิจของ BAFS ในช่วง 3-4 ปีข้างหน้าให้ยังคงแข็งแกร่ง จากกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ แม้ว่าจะมีความเสี่ยงจากแหล่งพลังงานที่อาจจะแปรปวนได้ โดยโครงการพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนได้รับประโยชน์จากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวที่มีอายุเฉลี่ย 20-25 ปี กับคู่สัญญาที่มีความแข็งแกร่ง ได้แก่ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และบริษัทชั้นนำในธุรกิจพลังงานไฟฟ้าสำหรับโครงการในประเทศญี่ปุ่น ฟิทช์คาดว่าธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์จะมี EBITDA (รวมเงินปันผลรับ) ที่สม่ำเสมอให้แก่ BAFS ที่ระดับประมาณ 250 ล้านบาทต่อปี

การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป
ลักษณะของกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของ BAFS มีความคล้ายคลึงกับบริษัท ผลิตไฟฟ้า นวนคร จำกัด (มหาชน) หรือ NNEG (อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ A-(tha)/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็ก ที่มีรายได้ร้อยละ 70-80 มาจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (BBB+/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ)

บริษัททั้งสองจึงมีความเสี่ยงในด้านการแข่งขันที่ต่ำ อย่างไรก็ตาม กระแสเงินสดของ BAFS ได้รับผลกระทบชั่วคราวจากการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัสที่ส่งผลต่ออุตสาหกรรมการบินทั่วโลก ในขณะที่ธุรกิจของ NNEG ได้รับผลกระทบที่น้อยกว่ามาก BAFS มีขนาดธุรกิจที่ใหญ่กว่าและมีการกระจายความเสี่ยงที่ดีกว่า NNEG ซึ่งมีการกระจุกตัวของทรัพย์สินในทำเลที่ตั้งเดียวและดำเนินธุรกิจเพียงอย่างเดียว อัตราส่วนหนี้สินของ BAFS ที่เคยอยู่ในระดับต่ำกว่า NNEG ได้เพิ่มสูงขึ้นเกินกว่าระดับอัตราส่วนหนี้สินของ NNEG เป็นอย่างมาก เนื่องจากการกำไรที่ลดลงจากการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัส และการลงทุนที่สูงในระบบขนส่งน้ำมันทางท่อ และธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในช่วงปี 2563-2567 สถานะทางการเงินของ BAFS อ่อนแอกว่า NNEG ทำให้ BAFS มีอันดับเครดิตต่ำกว่า NNEG หนึ่งอันดับ

ลักษณะของกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของ BAFS มีความคล้ายคลึงกับบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC (A+(tha)/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ/ สถานะเครดิตโดยลำพังที่ a-(tha)) เช่นเดียวกันกับ NNEG GPSC มีรายได้ที่สม่ำเสมอและสามารถคาดการณ์ได้ จากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว อย่างไรก็ตาม GPSC มีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งกว่า BAFS เนื่องจากการกระจายความเสี่ยงของสินทรัพย์และรายได้ที่ดีกว่า อัตราส่วนหนี้สินของ GPSC ในปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำกว่า BAFS แต่น่าจะเพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกันในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า เนื่องจากค่าใช้จ่ายลงทุนที่อยู่ในระดับสูงของ GPSC ดังนั้น BAFS จึงมีอันดับเครดิตต่ำกว่าสถานะเครดิตโดยลำพังของ GPSC หนึ่งอันดับ

สมมุติฐานที่สำคัญ
สมมุติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ

  • ปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยานฟื้นตัวกลับมาอยู่ในระดับประมาณร้อยละ 84 ของระดับก่อนการเกิดเหตุการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสในปี 2566 และร้อยละ 98 ในปี 2567 (2565 อยู่ที่ร้อยละ 49)
  • อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ (EBITDA Margin) เพิ่มขึ้นมาที่ระดับร้อยละ 52-55 ในปี 2566 และ 2567 (ปี 2565 อยู่ที่ร้อยละ 33.6) จากการฟื้นตัวของปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยาน
  • ค่าใช้จ่ายลงทุนจำนวนประมาณ 900 ล้านบาทในปี 2566 และจำนวนประมาณ 1 พันล้านบาทในปี 2567 ซึ่งรวมค่าใช้จ่ายลงทุนในโครงการเชื่อมระบบท่อขนส่งน้ำมัน
  • จ่ายเงินปันผลในจำนวนที่ต่ำในปี 2566 และจ่ายเงินปันผลร้อยละ 80 ของกำไรสุทธิในปี 2567

ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต
ปัจจัยบวก:

  • แนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับกลับมาเป็นมีเสถียรภาพได้ หากอัตราส่วน EBITDA Net Leverage ลดลงมาอยู่ในระดับประมาณ 6.0 เท่าได้ภายในปี 2566

ปัจจัยลบ:
-อัตราส่วน EBITDA Net Leverage ยังคงอยู่ในระดับสูงกว่า 6.0 เท่าหลังจากปี 2566

สภาพคล่อง
สภาพคล่องอยู่ในระดับที่เพียงพอ: BAFS มีสภาพคล่องที่ดี โดยมีเงินสดที่เพียงพอ และการชำระคืนหนี้ที่ดี BAFS มีหนี้สินจำนวน 1.3 พันล้านบาท ที่จะครบกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดยมีเงินสด (ตามคำจำกัดความของฟิทช์) จำนวน 2 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2565 สภาพคล่องของ BAFS ยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากวงเงินสินเชื่อแบบผูกพันไว้แล้วที่ยังไม่ได้เบิกถอน (Undrawn Committed Facility) จำนวน 1.1 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2565 โดยสภาพคล่องดังกล่าวน่าจะเพียงพอสนับสนุนค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนโครงการเชื่อมระบบท่อขนส่งน้ำมัน

ลักษณะธุรกิจ
BAFS เป็นผู้ให้บริการคลังเก็บน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน และเครือข่ายท่อจ่ายน้ำมันอากาศยาน และเป็นผู้ให้บริการหลักในการเติมน้ำมันอากาศยาน ณ ท่าอากาศยานที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย 2 แห่ง BAFS มีบริษัทย่อยที่ BAFS ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 70 ซึ่งเป็นผู้ให้บริการขนส่งน้ำมันทางท่อ จากคลังน้ำมันบางจากไปยังท่าอากาศยานทั้ง 2 แห่ง และเป็นเจ้าของระบบท่อขนส่งน้ำมันไปยังภาคเหนือระบบแรกของประเทศไทย นอกจากนี้ BAFS ยังมีโครงการโรงไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ที่มีกำลังผลิตรวม 36 เมกะวัตต์ในประเทศไทยและ 13 เมกะวัตต์ในประเทศญี่ปุ่น

ที่มา: ฟิทช์ เรทติ้งส์

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๐ ธ.ค. ASMT ผนึก TFT ร่วมลงนามด้านวิชาการด้านอุตสาหกรรมการบิน
๒๐ ธ.ค. กรมวิชาการเกษตร เดินหน้า ถ่ายทอดองค์ความรู้การผลิตอะโวคาโดคุณภาพ สร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกรกว่า 2 แสนบาท/ไร่
๒๐ ธ.ค. Dow มุ่งพัฒนาประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ Personal Care ควบคู่ความยั่งยืน ตอบโจทย์ผู้บริโภคตลาดเครื่องสำอางในภูมิภาคเอเชีย
๒๐ ธ.ค. โอซีซี มอบความรู้ พัฒนาอาชีพให้ผู้ต้องขังหญิง
๒๐ ธ.ค. ดร.นุชนารถ ชลคงคา นำทีมสถาบัน ESTC จัดอบรมให้ Karmakamet
๒๐ ธ.ค. กนภ. เห็นชอบร่าง พรบ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลไกสำคัญสู่เส้นทางเศรษกิจคาร์บอนต่ำ และมีภูมิคุ้มกันฯ
๒๐ ธ.ค. WePlay x คอลแลบตัวละครสุดปัง! พบกับมินิเกมใหม่ และการ์ตูนสุดน่ารักที่คุณจะต้องหลงรัก
๒๐ ธ.ค. เดลต้า ประเทศไทย และ WEnergy Global ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อขับเคลื่อนอนาคตพลังงานสีเขียว
๒๐ ธ.ค. ความภาคภูมิใจของ ไลอ้อน กับ 3 รางวัลแห่งเกียรติยศ เผยผลงานโดดเด่นกับหลายรางวัลที่ได้รับในปี 2567
๒๐ ธ.ค. NOBLE คว้าเรทติ้งสูงสุด ระดับ AAA SET ESG Ratings ประจำปี 2567 ยกระดับองค์กรสู่ความยั่งยืนภายในแนวคิด Live Different ตามกรอบ