นายชัยวัฒน์ นันทิรุจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอกา โกลบอล จำกัด (EKA GLOBAL) ผู้นำตลาดนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร (Longevity Packaging) เปิดเผยว่า เทรนด์ผู้บริโภคในไตรมาสแรกของปี 2566 มีการปรับเปลี่ยนไป เมื่อก้าวเข้าสู่ยุคหลังโควิด-19 ที่ความรุนแรงของโรคลดลงอย่างมาก ทำให้ผู้บริโภคเริ่มกล้าดำเนินชีวิตและรับประทานอาหารนอกบ้านมากขึ้น อย่างไรก็ดี ผู้บริโภคคนไทยยังคงเอาใจใส่ และให้ความสำคัญกับการเลือกกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ มีความปลอดภัย ควบคู่กับการมีไลฟ์สไตล์รักษ์โลกมากขึ้น ทั้งความต้องการสนับสนุนและเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ที่มีแนวทางเพื่อความยั่งยืน มีการใช้วัตถุดิบและกระบวนการผลิตที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ฯลฯ ซึ่งกระแสดังกล่าวเป็นไปตามเทรนด์ตลาดทั่วโลกที่ต่างก็หันไปในทิศทางนี้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้นในปีนี้
ทั้งนี้ ผู้บริโภคจะให้ความสำคัญกับการปรับลดปริมาณขยะจากอาหาร (Food waste) ที่รับประทานไม่หมด หรือ กินเหลือ มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีรายงานระบุว่าในช่วงที่ผ่านมา เศษอาหารสร้างมลพิษทั่วโลกได้ถึง 8-10% และมีแนวโน้มจะมีปริมาณเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคต
"กระแสตลาดทั่วโลก ตอกย้ำว่าโลกมุ่งหน้าไปสู่เทรนด์ธุรกิจเพื่อความยั่งยืน เมื่อผู้บริโภคมีไลฟ์สไตล์รักษ์โลกที่เห็นชัดเจน ทั้งการเลือกใช้ของที่ผลิตจากวัสดุที่ยั่งยืน คงทนและแข็งแรง เพื่อลดความถี่ในการซื้อใหม่ หรือ เปลี่ยนบ่อย ๆ อีกหนึ่งกระแสที่กำลังมาแรงและเริ่มเห็นมากขึ้น คือ เทรนด์แยกประเภทขยะ และการใช้ของรีไซเคิล นำของที่ใช้แล้ว กลับมาใช้ใหม่อีกครั้ง เป็นต้น"
สำหรับ "เอกา โกลบอล" นอกเหนือจากความมุ่งมั่นจะขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตสู่เป้าหมายเป็นเบอร์ 1 ใน 5 (Top 5) ของบริษัทผู้ผลิตนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหารในตลาดโลกแล้ว ในเรื่องของ "ความยั่งยืน" ก็ผลักดันอย่างเต็มกำลัง โดยนำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) อย่างสมบูรณ์ กำหนดเข้ากับเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ขององค์กร ทั้งการปรับปรุงการใช้แหล่งพลังงานหมุนเวียน ลดการใช้ทรัพยากรที่ฟุ่มเฟือย และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ฯลฯ เพื่อมุ่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainable Growth) ให้กับบริษัทฯ ในระยะยาว
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า จากความมุ่งมั่นด้านสิ่งแวดล้อม บริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญและทุ่มงบลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาสินค้า (R&D) มากกว่า 2% ของงบการตลาด ด้วยความเข้าใจในความท้าทายของตลาดโลกและความสำคัญของนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน โดยบริษัทฯ ปรับเป้าหมายมุ่งไปสู่นวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มข้นยิ่งขึ้น จากเดิม ผลิตภัณฑ์ "เอกา โกลบอล" สามารถรีไซเคิลได้ 100% ขยายผลสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม
ปัจจุบัน บริษัทฯ มีผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมให้เลือก 3 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ บรรจุภัณฑ์ Bioplastic (PLA) บรรจุภัณฑ์ Biodegradable ที่ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติทั้งหมดและสามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ และบรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากเม็ดพลาสติกรีไซเคิล (PCR) หรือ เรซิน รีไซเคิล
ทั้งนี้ บริษัทฯ ไม่หยุดนิ่ง สร้างสรรนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อมอบทางเลือกให้กับลูกค้ามากขึ้น และเพื่อตอบสนองความต้องการและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคทั่วโลกที่เปลี่ยนไป โดยตั้งเป้าหมายจะพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อยหนึ่งผลิตภัณฑ์ต่อปีในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า และเพิ่มความสามารถของผลิตภัณฑ์ในการยืดอายุการเก็บรักษาโดยไม่ต้องแช่ตู้เย็นให้ยาวนานขึ้นจากเดิม 2 ปี เป็น 3-5 ปี
"ในฐานะผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ที่มีประสบการณ์มากกว่า 20 ปี บริษัทฯ ตระหนักด้านสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการคิดค้นและพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้บริโภค ซึ่งเชื่อว่า บรรจุภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติช่วยยืดอายุการเก็บรักษา จะมีบทบาทสำคัญในการสร้างความยั่งยืนและยังทำให้คุณภาพชีวิตของผู้บริโภคดีขึ้น เพราะมีส่วนช่วยลดปริมาณขยะจากเศษอาหารและขยะพลาสติกได้ ขณะเดียวกัน บรรจุภัณฑ์ "เอกา โกลบอล" ยังมีคุณสมบัติช่วยรักษาคุณภาพอาหาร คงรสชาติ และมีความปลอดภัย อีกทั้งยังช่วยปิดจุดอ่อนของธุรกิจอาหารได้ดี และง่ายต่อการจัดส่งด้วย"
ผู้บริหาร "เอกา โกลบอล" กล่าวปิดท้ายว่า ตลอดระยะเวลาของดำเนินธุรกิจกว่าสองทศวรรษ บริษัทฯ มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด มียอดขายเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละไม่ต่ำกว่า 25% และมีแนวโน้มที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นมั่นใจว่ายอดขายของบริษัทฯ จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในปี 2569 โดยมีกลยุทธ์สำคัญ คือ การพัฒนานวัตกรรมและบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหารเพื่อความยั่งยืนใหม่ ๆ เข้ามาเสริมทัพความแข็งแกร่ง รวมถึงการลงทุนโรงงานใหม่ในประเทศอินเดีย และการเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นอีก ฯลฯ
ที่มา: เมคอะเว็ลท์ คอนซัลติ้ง