"บรรยากาศการเมืองและการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่ชัดเจนขึ้นจะเป็นปัจจัยหนุนเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังของปีนี้" ดร.ทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) กล่าว
"เราคิดว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยเผชิญความไม่แน่นอนในไตรมาสที่ 2 อย่างไรก็ตาม เรายังมองว่าในครึ่งปีหลัง เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ดี ทั้งนี้เราปรับลดประมาณการการเติบโตเศรษฐกิจไทยในปี 2566 ซึ่งสะท้อนตามตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญที่ต่ำกว่าคาด ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังคงไม่สดใส และโอกาสที่จะมีความล่าช้าในการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากมีการเลือกตั้ง"
ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด คาดเศรษฐกิจไทยในปี 2566 จะเติบโตร้อยละ 4.3 (เดิมคาดเติบโตร้อยละ 4.5) อัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดจะอยู่ที่ร้อยละ 2.1 (เดิมคาดไว้ที่ร้อยละ 2.7) อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานคาดจะอยู่ที่ร้อยละ 1.7 (เดิมคาดไว้ที่ร้อยละ 3.3) ในขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดจะอยู่ที่ร้อยละ 3.6 ของจีดีพี (เดิมคาดไว้ที่ร้อยละ 4.0)
คาดเศรษฐกิจฟื้นตัวได้ดีในครึ่งปีหลังธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดคาดว่ารัฐบาลใหม่จะเริ่มทำงานได้อย่างเต็มที่และออกมาตรการกระตุ้นการบริโภค ประกอบกับการฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้นของภาคการท่องเที่ยวจากอานิสงค์ของการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน
"เราคาดว่าเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังจะเติบโตร้อยละ 5.7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน และปรับตัวดีขึ้นกว่าการเติบโตที่ร้อยละ 2.9 ในครึ่งปีแรก เราปรับคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวในปี 2566 ขึ้นเป็น 25 ล้านคน จากที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ 15-20 ล้านคน อย่างไรก็ตาม จำนวนนักท่องเที่ยวยังต่ำกว่าปี 2562 ซึ่งมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยือน 40 ล้านคน ทั้งนี้ เราคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจากจีนประมาณ 5 ล้านคนในปีนี้ (เทียบกับ 11 ล้านคนในปี 2562) โดยนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่น่าจะหนาแน่นขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 3 เป็นต้นไป" ดร.ทิม กล่าว
เรายังคงมีมุมมองที่เฝ้าระวังต่อดุลบัญชีการค้า สาเหตุมาจากการส่งออกที่ชะลอตัวลงและการนำเข้าที่ยังคงมีมูลค่าสูง โดยความเคลื่อนไหวเหล่านี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การค้าโลกในช่วงครึ่งปีหลังและการนำเข้าของไทย เนื่องจากเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งขึ้น การส่งออกและนำเข้าที่สอดคล้องกันอาจช่วยลดการขาดดุลการค้า
ในส่วนของภาวะเงินเฟ้อ เรายังคงมีมุมมองว่าอัตราเงินเฟ้อจะยังคงเพิ่มขึ้นในช่วงที่เหลือของปี สอดคล้องกับคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจ เรามองว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปน่าจะอยู่ในระดับต่ำที่สุดที่ร้อยละ 1.2 ในไตรมาสที่ 3 และปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 1.6 ในไตรมาสที่ 4 เราคาดว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะปรับเพิ่มขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 3 เป็นต้นไป เนื่องจากประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงเศรษฐกิจขยายตัว โดยคาดว่าเงินเฟ้อและการบริโภคจะเพิ่มขึ้นจากนโยบายทางเศรษฐกิจและนโยบายกระตุ้นการใช้จ่ายจากรัฐบาลใหม่ ในส่วนของปัจจัยด้านอุปทาน ราคาพลังงานและราคาอาหารที่ยังคงอยู่ในระดับสูงอาจสร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ ซึ่งสนับสนุนมุมมองของเราที่มองว่าเงินเฟ้อจะกลับมาเพิ่มขึ้น
การปรับดอกเบี้ยนโยบายสู่ภาวะปรกติธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอีก 0.25% ในการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินในวันที่ 31 พฤษภาคมนี้ โดยดอกเบี้ยนโยบายน่าจะอยู่ที่ร้อยละ 2 ในสิ้นปีนี้ แม้ว่ายังมีความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจโลก แต่ดัชนีเศรษฐกิจที่เข้มแข็งของไทยประกอบกับมุมมองภาพรวมเศรษฐกิจเชิงบวกของธปท. เราจึงมองว่า ธปท. น่าจะยังดำเนินนโยบายการเงินเพื่อกลับสู่ภาวะปรกติเพื่อเพิ่มพื้นที่นโยบาย
ช่วงเปลี่ยนผ่านสู่การเมืองที่มีเสถียรภาพยิ่งขึ้น ช่วงไตรมาส 2 น่าจะมีความเคลื่อนไหวทางการเมืองเพิ่มขึ้น ทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้ง ซึ่งคาดว่าจะผ่านไปได้ด้วยดี เราคาดว่ารัฐบาลใหม่จะใช้เวลาอย่างน้อย 2 เดือนในการตั้งรัฐบาลและเลือกนายกรัฐมนตรี โดยคณะรัฐบาลน่าจะพร้อมทำงานอย่างเร็วที่สุดในเดือนกรกฎาคม
ภาพรวมตลาดเงิน - ดุลบัญชีเดินสะพัดช่วยหนุนค่าเงินบาทภาพรวมในระยะกลางสำหรับค่าเงินบาทยังคงดี แม้ว่าจะมีความผันผวนในระยะสั้น การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกาประกอบกับราคาน้ำมันที่ลดลง และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว น่าจะเป็นผลดีต่อบัญชีทุนและดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น - จบ -
เกี่ยวกับธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดเราเป็นกลุ่มธนาคารสากลชั้นนำระดับโลกที่ดำเนินธุรกิจใน 59 ตลาดที่มีการปรับตัวอย่างรวดเร็ว และให้บริการลูกค้าในอีก 64 ตลาด โดยมีเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนการค้า การลงทุนและการสร้างความมั่งคั่ง ผ่านความหลากหลายที่เป็นเอกลักษณ์ของเรา และหลักการที่สืบทอดมาและค่านิยมองค์กรของเราสะท้อนอยู่ในพันธกิจของสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดที่ว่า Here for good
ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดจำกัด มหาชน ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในลอนดอนและฮ่องกง
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม หรือต้องการอ่านบทความจากผู้เชี่ยวชาญ โปรดเยี่ยมชม Insights ได้ที่เว็บไซต์ www.sc.com และติดตามสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดได้ทาง Twitter, LinkedIn และ Facebook
ที่มา: ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย)