งานสัมมนาเริ่มจากปาฐกถาพิเศษโดย นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้พูดถึงปัญหาของ Climate Change เป็นภัยคุกคามสำคัญทางเศรษฐกิจของโลกในระยะยาว ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทวีความรุนแรงมากขึ้นทั่วโลก ประเทศไทยมีความเสี่ยงลำดับที่ 9 ของโลกที่เกิดภัยพิบัติธรรมชาติจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งทำให้เกิดความสูญเสียและได้รับความเสียหาย ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จึงได้ยกระดับการทำงานและขับเคลื่อนการดำเนินงานที่สำคัญ ทบทวนแผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจกรายสาขาที่สอดคล้องกับเป้าหมาย NDC (ปี 2030) ในภาคพลังงานและขนส่ง ภาคอุตสาหกรรม ภาคของเสีย และภาคเกษตร พัฒนากลไกตลาดคาร์บอนเครดิตทั้งในและต่างประเทศ การเพิ่มแหล่งกักเก็บและดูดกลับก๊าซเรือนกระจก ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอน นอกจากนี้กระทรวงอยู่ระหว่างผลักดัน (ร่าง) พระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการยกระดับจาก Voluntary เป็น Mandatory เพิ่มเติมบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดราคาคาร์บอน และกลไกตลาดคาร์บอนเครดิต และเชื่อมั่นในศักยภาพของคนไทย ที่จะไปสู่ Net Zero GHG เราต้องเปลี่ยนวิธีคิดวิธีทำ ทุกอย่างเป็นจริงได้
ต่อด้วย ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันโลกเรามีปัญหาที่ท้าทายและอาจฉุดรั้งการพัฒนาในอนาคต แต่ก็เป็นความท้าทายที่เปิดโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจ ธุรกิจที่สามารถปรับตามแนวทางแห่งความยั่งยืนได้ก็จะเพิ่มโอกาสและรายได้ ใครทำได้ก่อนก็รับโอกาสก่อน สิ่งที่ตลาดหลักทรัพย์จะช่วยในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านนี้ เราเล็งเห็นความสำคัญในการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติที่สนใจการลงทุน ESG ซึ่งกำลังเติบโตอย่างมาก จึงได้เร่งพัฒนา ESG Data Platform เพื่อรวมศูนย์ข้อมูล สร้างความโปร่งใสและสร้างมาตรฐาน ESG ในการดำเนินกิจการ และเพิ่มโอกาสในการระดมทุนของบริษัทจดทะเบียนไทยที่ดำเนินการด้าน ESG ได้อย่างดี เราทำงานใกล้ชิดกับบริษัทจดทะเบียนรวมถึงสถาบันที่เป็นตัวกลางในการยกระดับความรู้และคุณภาพการดำเนินกิจการ ซึ่งรวมไปถึงคู่ค้าในห่วงโซ่คุณค่า เพื่อให้เท่าทันการแข่งขัน ในวันนี้ Sustainability ถือเป็น "License to Grow" หรือใบอนุญาตสำคัญให้ธุรกิจมีสิทธิเติบโตในระยะยาวอย่างแท้จริง เพราะเป็นการเติบโตที่ทุกคนต้องการและมีคุณภาพมากกว่าเดิม ควบคู่ไปกับสิ่งแวดล้อม และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เหลือเพียงทุกภาคส่วนหันหน้ามาผนึกกำลัง ลงมือทำเพื่ออนาคตของลูกหลานไทย
จากนั้น นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ความยั่งยืนเป็นเรื่องสำคัญ เพราะความยั่งยืนไม่ได้แค่เปลี่ยน Mindset ในการทำธุรกิจ แต่เปลี่ยนวิถีชีวิตของพวกเราทุกคน ความยั่งยืนเป็นโอกาสสำหรับธุรกิจที่เร่งปรับตัว จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปยอมจ่ายเพื่อสินค้ารักษ์โลก และจากรายงานของ McKinsey พบว่ามีกลุ่มธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน จำนวน 11 กลุ่ม เช่น ธุรกิจขนส่ง ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจเกษตร และธุรกิจน้ำมันและก๊าซ สามารถสร้างรายได้รวมกันมากกว่า 12 ล้านล้านดอลลาร์ฯ ต่อปี ภายในปี 2030 เพื่อเปลี่ยนผ่านระบบเศรษฐกิจของทั้งโลกไปสู่ Net Zero ส่วนคนที่คิดว่ายังอีกไกลก็อาจจะเจอความเสี่ยงจากมาตรการต่างๆ โดยเฉพาะมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมต่อการค้าระหว่างประเทศที่เข้มงวดมากขึ้น เช่น CBAM ของสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะกลายเป็นข้อจำกัดในการแข่งขันทางธุรกิจ
นางสาวขัตติยา กล่าวเพิ่มเติมว่า การพัฒนาธุรกิจให้เติบโตแบบก้าวกระโดดอย่างยั่งยืนนั้นยังต้องการการสนับสนุนอีกมาก โดยเฉพาะเรื่องเงินลงทุนจำนวนมหาศาลทั้งจากนักลงทุนทั่วไป Venture Capital ธนาคารและสถาบันการเงิน ที่ในอนาคตจะเข้ามามีส่วนช่วยเหลือให้ธุรกิจสีเขียวเหล่านี้เติบโตได้เต็มศักยภาพ ทั้งนี้การแก้ปัญหาเรื่องความยั่งยืนไม่ใช่งานของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นความร่วมมือกันทั้งภาครัฐ หน่วยงานกำกับดูแล นักลงทุน ภาคธุรกิจ ผู้บริโภค และสถาบันการเงิน ทุกฝ่ายล้วนมีส่วนสำคัญในการช่วยให้โลกใบนี้เปลี่ยนผ่านไปได้ การจัดงานในวันนี้จึงอยากเชิญชวนให้ทุกภาคส่วนมาร่วมกันลงมือทำอย่างจริงจัง หากเราทำสำเร็จเราจะพบดินแดนใหม่ที่สดใสอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ภายในงานยังมีการจัดกิจกรรม JUMP Startup Clinic เพื่อให้คำปรึกษาแก่สตาร์ทอัพที่มองหาโอกาสในการพัฒนาธุรกิจ โดยมีธุรกิจสตาร์ทอัพเข้ารับคำปรึกษาในงานกว่า 100 ราย และมีนักธุรกิจเข้าร่วมงานสัมมนา "EARTH JUMP 2023 : New Frontier of Growth" ตลอดทั้งวัน จำนวนกว่า 2,000 คน ธนาคารกสิกรไทยหวังว่างานนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นให้ธุรกิจไทยเดินหน้าคว้าโอกาสก้าวกระโดดเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
ที่มา: ธนาคารกสิกรไทย