อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการป้องกันกำจัดแมลงวันผลไม้สามารถทำได้อย่างถูกวิธี โดยเมื่อผลผลิตเริ่มติดผล ควรห่อผลด้วยถุงพลาสติกหรือถุงกระดาษ และเก็บผลไม้ที่หลงเหลือจากการเก็บเกี่ยวหรือเน่าเสียไปทำเป็นปุ๋ยหมัก น้ำหมัก หรือฝังกลบดินที่มีความหนาของหน้าดินอย่างน้อย 50 เซนติเมตร รวมถึงตัดแต่งกิ่งให้โปร่ง และกำจัดพืชอาศัยเพื่อลดแหล่งหลบซ่อนของแมลงวันผลไม้ด้วย หากเริ่มพบแมลงวันผลไม้ในแปลงปลูกสามารถใช้สารล่อกำจัดแมลงวันผลไม้เพศผู้เพื่อไม่ให้สืบพันธุ์ โดยใช้เมทธิลยูจินอล จำนวน 3 ส่วน ผสมกับสารฆ่าแมลงที่ไม่มีกลิ่นหรือมีกลิ่นน้อยที่สุด เช่น ไดคลอร์วอส ,แลมบ์ดา ไซฮาโลทริน,มาลาไธออน 57% W/V EC ,ไซเพอร์เมทริน 25% W/V EC จำนวน 1 ส่วน หยดลงบนแท่งฝ้ายหรือสำลีในกับดัก ซึ่งสามารถประยุกต์ได้จากขวดน้ำ หรือใช้แผ่นสารล่อซึ่งทำจากวัสดุดูดซับของเหลวได้ดี เช่น แผ่นชานอ้อย หรือกาบมะพร้าว และควรแขวนสารล่อห่างกันทุก 40-50 เมตร ทางด้านทิศตะวันออกของทรงพุ่มในที่ที่มีร่มเงา ระดับสูง 2 เมตรขึ้นไป สำหรับการล่อกำจัดแมลงวันผลไม้ในระยะดึงดูดที่ไม่ไกลนัก สามารถใช้เหยื่อโปรตีนออโตไลเสทหรือไฮโดรไลเสท ซึ่งจะใช้เป็นเหยื่อในกับดัก โดยใช้โปรตีน 1 ส่วน และน้ำ 15 ส่วน ผสมให้เข้ากัน หรือใช้พ่นเป็นเหยื่อพิษตามต้นและใบพืช โดยใช้โปรตีน 4 ส่วน และสารฆ่าแมลง 1 ส่วน ผสมให้เข้ากันแล้วเติมน้ำ 95 ส่วน นอกจากนี้ ยังมีเทคนิคการทำให้แมลงเป็นหมัน ซึ่งเป็นวิธีการฉายรังสีและนำกลับไปปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ เพื่อให้แมลงวันทองที่เป็นหมันทำหน้าที่ควบคุมแมลงชนิดเดียวกันเองในธรรมชาติต่อไป
ทั้งนี้ เกษตรกรควรเลือกวิธีที่เหมาะสมกับสวนของตนเอง และรู้จักวงจรชีวิตของแมลงวันผลไม้เพื่อป้องกันกำจัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่ ระยะไข่ หนอน ดักแด้ และตัวเต็มวัย โดยระยะไข่ มีรูปร่างยาวรีสีขาว ระยะหนอน มีรูปร่างหัวแหลมท้ายป้าน ไม่มีขา ไม่มีตา ส่วนหัวจะมีตะขอแข็งสีดำใช้สำหรับตะกุยเนื้อผลไม้ให้เละเพื่อกินเป็นอาหาร ทำให้ผลไม้มีตำหนิเน่าเสีย เมื่อหนอนโตเต็มที่จะสามารถดีดตัวได้ไกลประมาณ 30 เซนติเมตร เพื่อหาพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับเข้าดักแด้ในดิน โดยระยะดักแด้จะอยู่ในดินลึกประมาณ 2-5 เซนติเมตร มีรูปร่างกลมรีสีน้ำตาล ไม่เคลื่อนไหว กระทั่งระยะตัวเต็มวัย จะออกหากินในช่วงเช้า ผสมพันธุ์ในช่วงพลบค่ำและวางไข่ช่วงกลางวัน เพศเมียจะหาผลไม้สุกแก่เหมาะสำหรับวางไข่และทำกลิ่นไว้เพื่อป้องกันเพศเมียตัวอื่นมาวางไข่ซ้ำรอยเดิม และหากเกษตรกรต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมสามารถสอบถามได้ที่สำนักงานเกษตรอำเภอใกล้บ้าน
ที่มา: กรมส่งเสริมการเกษตร