นายนิรัญ โพธิ์ศรี นายกสมาคมไทยรับสร้างบ้าน (Thai Home Builders Association: THBA) เปิดเผยว่า "ในช่วงไตรมาส 2 นี้ ผู้ผลิตและจำหน่ายวัสดุก่อสร้างชั้นนำรายหลัก ๆ ประกาศปรับราคาขายอีกรอบ อ้างเหตุต้นทุนวัตถุดิบราคาพุ่งสูง ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีการปรับขึ้นราคาในช่วงกลางปีและปลายปี 2565 มาก่อนแล้ว ทั้งนี้วัสดุและบริการที่มีการปรับขึ้นราคาเริ่ม 7-20% อย่างเช่น อิฐมวลเบา โครงหลังคาเหล็กสำเร็จรูป กระเบื้องหลังคาคอนกรีต ปูนซิเมนต์ กระเบื้องตกแต่งผนัง ฯลฯ นอกจากนี้ ผู้ผลิตและจำหน่ายยังขยายระยะเวลาส่งมอบสินค้านานขึ้นเมื่อมีคำสั่งซื้อ จากเดิมระยะเวลาส่งมอบสินค้า 15-45 วัน แต่ปัจจุบันขยายระยะเวลาออกไปเป็น 30-90 วัน หรือส่งมอบสินค้าช้ากว่าเดิมเท่าตัว โดยเฉพาะอิฐมวลเบาที่มีการปรับราคาขึ้นทุกเดือนมาระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งผู้ประกอบการรับสร้างบ้านได้รับผลกระทบกันทั่วหน้า ทั้งต้นทุนวัสดุที่ปรับสูงขึ้นและระยะเวลาก่อสร้างที่ต้องล่าช้าออกไป ในขณะที่บ้านที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างขณะนี้ ส่วนใหญ่เป็นบ้านทำสัญญาในราคาต้นทุนเดิมช่วงปลายปีที่แล้วหรือก่อนหน้านี้
"อาจกล่าวได้ว่าเป็น "ทุกขลาภ" สำหรับผู้ประกอบการที่มีสต๊อกสร้างบ้านในมือจำนวนมาก แต่มาเริ่มงานก่อสร้างบ้านในช่วงต้นปี 2566 โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายที่เน้นตัดราคาคู่แข่งหรือหั่นราคาไว้ต่ำมาก ๆ โดยหวังว่ากำไรที่ลดลงจะชดเชยด้วยปริมาณสร้างบ้านที่ได้มาเพิ่มขึ้น แต่เมื่อต้องแบกรับต้นทุนใหม่ที่พุ่งสูงเกินคาดและปัญหาวัสดุขาดตลาดหรือผู้จำหน่ายส่งมอบล่าช้า จึงไม่อาจเร่งระยะเวลาการก่อสร้างให้เร็วขึ้นหรือต้องล่าช้าออกไปกว่าเดิม เท่ากับต้นทุนค่าบริหารจัดการก็สูงขึ้นเป็นเงาตามกัน บอกได้เลยว่างานนี้หนาว ๆ ร้อน ๆ กันทีเดียว ซึ่งปีนี้กำรี้กำไรคงไม่ต้องคาดหวังกัน เอาเป็นว่าทำอย่างไรไม่ให้บาดเจ็บและปลอดภัยพอ อย่างไรก็ตามรายใดจะบาดเจ็บหรือรายใดจะอยู่รอดปลอดภัย เชื่อว่าผู้ประกอบการที่มีความเป็นมืออาชีพและมีประสบการณ์มานาน เคยผ่านสถานการณ์ลักษณะนี้มาแล้วจะมีวิธีรับมือได้ไม่ยากแต่ก็ไม่ง่าย"
นายนิรัญ นายกสมาคมกล่าวอีกว่า ลักษณะของการดำเนินธุรกิจรับสร้างบ้านนั้น ผู้ประกอบการกับผู้บริโภคในฐานะผู้ว่าจ้าง จะตกลงราคาและทำสัญญากันก่อน จากนั้นจึงจะเริ่มกระบวนการก่อสร้างตามสัญญาที่ตกลงกัน โดยส่วนใหญ่ผู้ประกอบการจะคำนวณราคาค่าก่อสร้างจากต้นทุน ณ ขณะที่ตกลงทำสัญญากัน ซึ่งสิ่งที่น่าเป็นกังวลและจะต้องวางแผนไว้ล่วงหน้าแต่เนิ่น ๆ เพื่อรับมือกับปัจจัยที่ส่งผลต่อต้นทุนในอนาคตที่สูงขึ้นก็คือ "ต้นทุนค่าแรงงาน" ที่คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นอีกหลังผ่านพ้นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(สส.) ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ที่จะถึงนี้ เพราะหากฟังจากนโยบายหาเสียงของพรรคการเมือง ที่มีแนวโน้มจะเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลและพรรคที่จะร่วมรัฐบาลแล้ว มีแนวโน้มสูงว่า นโยบายเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำจะถูกหยิบยกนำมาประกาศใช้แน่นอน ฉะนั้นหากผู้ประกอบการไม่ระมัดระวังในการคำนวณราคาต้นทุน และราคาขายที่แม่นยำหรือใกล้เคียงที่สุด คงหนีไม่พ้นผลกระทบอีกหนึ่งเด้ง อย่างเช่น คำนวณราคาต้นทุนต่ำเกินไปก็จะยิ่งขาดทุนหนัก แต่หากคำนวณราคาเผื่อไว้สูงเกินไป ผู้บริโภคหรือผู้ว่าจ้างอาจหนีไปใช้บริการคู่แข่ง เป็นต้น
สำหรับ ภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านไตรมาส 2 นี้ สมาคมฯ ประเมินว่าความต้องการสร้างบ้านของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่แล้ว โดยกำลังซื้อผู้บริโภคกลุ่มราคาบ้านไม่เกิน 5 ล้านบาทขยายตัวดีขึ้น สวนทางกับผู้บริโภคกลุ่มบ้านราคา 10-20 ล้านบาทขึ้นไป พบว่าขยายตัวลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันเมื่อปีก่อน คาดว่าประการแรกเกิดจากผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจเอาไว้ ประการถัดมาเป็นเพราะความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภคกลุ่มนี้ลดลง ซึ่งหมายถึงว่ามีการซื้อหรือสร้างบ้านกันก่อนหน้านี้จำนวนมากแล้ว หรืออาจได้รับผลกระทบจากการค้าและธุรกิจที่ซบเซา อย่างไรก็ดี สมาคมฯ ประเมินว่ากำลังซื้อกลุ่มผู้บริโภคที่ยังไม่ตัดสินใจซื้อหรือสร้างบ้านในช่วงนี้ อาจเพราะจะรอดูความชัดเจนผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสียก่อน ทั้งนี้โอกาสที่กำลังซื้อของผู้บริโภคและตลาดรับสร้างบ้านจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง สมาคมฯ ประเมินว่ามีแนวโน้มที่ดี โดยเฉพาะหากการจัดตั้งรัฐบาลเป็นไปตามที่ผู้บริโภคและประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศคาดหวัง นายนิรัญ กล่าวสรุป
ที่มา: พีดี เฮ้าส์ อินเตอร์เนชั่นแนล