นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้เวลธ์ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งที่ 10 อีก 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 5-5.25% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2549 นักลงทุนในตลาดต่างคาดการณ์ว่าหลังจากนี้ Fed จะคงอัตราดอกเบี้ยในระดับดังกล่าวไว้ หรืออาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง เห็นได้จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond yield) ระยะสั้นอายุ 2 ปีของสหรัฐฯ ได้ปรับลดลงแรงจาก 5.00 ลงมาที่ 3.9% เร็วกว่า Bond yield ระยะยาวอายุ 10 ปี ที่ปรับลงมาอยู่ที่ 3.4% จาก 4.00%
ในแง่ของกลยุทธ์การลงทุน ธนาคารทิสโก้มองว่า เมื่อแรงกดดันจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเริ่มผ่อนคลายลง เชื่อว่าราคาสินทรัพย์หลายประเภทมีโอกาสที่จะฟื้นตัวขึ้นและเป็นโอกาสในการลงทุนครั้งสำคัญสำหรับวัฏจักรเศรษฐกิจรอบนี้ โดยประเภทสินทรัพย์ที่น่าสนใจในการลงทุน คือ "สินทรัพย์คุณภาพสูง" ที่ "ราคาปรับตัวลดลงมาแรง" ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา จากความกังวลต่อภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น โดยมีธีมการลงทุนที่น่าสนใจน่าทยอยสะสมดังต่อไปนี้
- สินทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากการ "หยุดขึ้นดอกเบี้ย" และ "ภาวะดอกเบี้ยขาลง" ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต (Hope for the last rate hike, prepare to the first rate cut) ได้แก่
- พันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในกลุ่มระดับลงทุน (investment grade) ซึ่งให้อัตราผลตอบแทน (Yield) อยู่ในระดับที่น่าสนใจและราคามีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้ดี หากอัตราดอกเบี้ยกลับมาเป็นขาลงในอนาคต
- หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี (Technology) ที่ราคาหุ้นได้รับผลกระทบจากภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นในช่วงที่ผ่านมา แต่มีโอกาสกลับมาฟื้นตัวแรงเมื่อเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลง โดยหุ้นกลุ่ม Technology ที่น่าสนใจ คือ กลุ่มที่รายได้ยังมีแนวโน้มเติบโตสูงอย่างสม่ำเสมอตามเทรนด์ Digital Transformation เช่น กลุ่มคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud computing) และความมั่งคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity)
- หุ้นกลุ่มสู้เศรษฐกิจถดถอย (Recession Fighter) ได้แก่ หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ (Healthcare) ที่มีอัตราการเติบโตสม่ำเสมอตามเมกะเทรนด์ (Megatrends) สังคมผู้สูงอายุและเป็นกลุ่มผู้ผลิตนวัตกรรมการแพทย์ เช่น Biotechnology และ Digital Health โดยหุ้นเฮลธ์แคร์อยู่ในหุ้นกลุ่ม "Quality growth" ที่มีความแข็งแกร่งของกำไร กระแสเงินสดดี และที่สำคัญคือ ผลประกอบการยังสามารถเติบโตได้ แม้จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
- หุ้นประเทศที่เศรษฐกิจดี - กำไร บจ.โตสูง ราคาหุ้นไม่แพง (High potential growth countries ) ซึ่งทั้งหมดอยู่ในตลาดหุ้นกลุ่มประเทศเอเชียที่ GDP เติบโตสูงกว่าค่าเฉลี่ยของเศรษฐกิจโลก และดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้แก่
- ตลาดหุ้นจีน ที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวจากการเปิดประเทศ (Re-opening) เศรษฐกิจอย่างเต็มรูปแบบและมีการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงินและการคลังอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ GDP ของจีนมีแนวโน้มเติบโตมากกว่า 5% ในปีนี้ ทั้งนี้ ควรเลือกลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่อยู่ใน Megatrends และได้รับการสนับสนุนจากแผนยุทธศาสตร์ชาติของรัฐบาลจีน เช่น กลุ่มอุปโภคบริโภค (Consumer) และ พลังงานสะอาด (Clean energy)
- ตลาดหุ้นเวียดนาม ที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตสูงกว่า 6% ในปีนี้จากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ภาคการท่องเที่ยวที่กลับมาฟื้นตัวและมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
ที่มา: ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป