สำหรับการดำเนินงานในครั้งนี้ เนื่องจากกลุ่มบริษัทบีทีเอส ได้ตระหนักถึงความสำคัญของคุณค่า ทางประวัติศาสตร์และมรดกทางวัฒนธรรม จึงต้องการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม อาคารโบราณสถานต่าง ๆ ไว้เพื่อสืบสาน และส่งต่อเป็นมรดกวัฒนธรรมของชาติไทยไปยังคนรุ่นหลังอีกทั้งก่อนหน้านี้ ได้ใช้งบประมาณ 5,000 ล้านบาท ในการเข้าบูรณะอาคารที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ถึง 3 แห่ง ได้แก่ "โครงการศุลกสถาน โรงภาษีร้อยชักสาม" ซึ่งเป็นอาคารที่มีอายุกว่า 130 ปี โดยได้ทำการปรับปรุงซ่อมแซมอาคารโบราณสถาน เพื่อเป็นโรงแรมระดับไม่ต่ำกว่า 5 ดาว ซึ่งถือเป็นแลนด์มาร์กสำคัญ ที่อยู่คู่กับชุมชน ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยามาอย่างยาวนาน รวมถึงได้ใช้งบประมาณดังกล่าว เข้าลงทุน
"โรงแรม ยูเชียงใหม่" ซึ่งได้รับรางวัลอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่น 2552 จากสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยได้ทำการคงโครงสร้าง อาคารจวนผู้ว่าการเชียงใหม่หลังเก่าไว้ภายในโรงแรม และทำการปรับปรุงเป็นเรสซิเดนซ์ เลานจ์ โดยคงไว้ซึ่งความงดงามของศิลปวัฒนธรรมชาวล้านนา แต่เพิ่มการตกแต่งภายในที่ทันสมัย นอกจากนี้ยังได้ลงทุนซื้ออาคารสถาปัตยกรรม Sino-Portuguese "คฤหาสน์พระอร่ามสาครเขต" อาคารโบราณสไตล์ ชิโน-โปรตุกีส อายุกว่า 100 ปี ย่านใจกลางเมืองเก่าจังหวัดภูเก็ต เพื่ออนุรักษ์ อาคารโบราณสถานตามเจตนารมณ์ที่ได้ตั้งปณิธานไว้
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า นอกเหนือจากการเป็น องค์กรที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจในด้านต่าง ๆ ผ่านการดำเนินการในกลุ่มธุรกิจ Move Mix และ Match แล้ว กลุ่มบริษัทบีทีเอสยังเล็งเห็นถึงคุณค่า และความสำคัญของมรดกทางวัฒนธรรมประเทศไทย อีกด้วย
นายคีรี กล่าวว่า "ผมไม่ได้ผลักดันโครงการเหล่านี้เพื่อสร้างภาพ ผมไม่ได้ต้องการแบบนั้น ตั้งแต่อายุ 60 ปี ก็เริ่มสนับสนุนเรื่องการกุศลหลายอย่างเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เช่น การสร้างโรงเรียนสอนคน ตาบอดมกุฏคีรีวันเขาใหญ่ การสร้างโรงพยาบาลมกุฏคีรีวัน อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา และการจัดตั้งมูลนิธิฟ้าสั่ง และศูนย์ไตเทียมฟ้าสั่ง เพราะรู้สึกว่าเราผ่านอะไรมาเยอะแล้ว จึงบอกตัวเองว่า ต่อจากนี้เราต้องทำทุกอย่างเพื่อตอบแทนคืนสังคม แต่สไตล์ของผมไม่ชอบบริจาคเงินแล้วจบกัน อยากไปสร้างด้วยมือตัวเอง เพราะกลัวว่าจะไปไม่ถึงมือคนที่เราอยากให้ได้รับประโยชน์จริง ๆ เลยเลือกที่จะทำเองแล้ว ค่อยส่งมอบให้ โครงการเหล่านี้ใช้คำว่า "คีรีและเพื่อน" คือเพื่อน ๆ พอรู้ว่า เราทำก็อยากจะช่วยทำบุญทำกุศลด้วย ถ้าปล่อยตัวเองให้แก่จนอายุ 70 - 80 ปี คงไม่มีแรงทำอะไร เพื่อสังคมแล้ว จึงต้องเริ่มทำตั้งแต่วันนี้"
ที่สำคัญการจัดงานในครั้งนี้ ยังเป็นส่วนหนึ่ง ในโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยว และกระตุ้นเศรษฐกิจ "Paper Mill Night Market ชิคแอนด์ชิลเที่ยวกาญจน์เอง" ที่ต้องการส่งเสริมการท่องเที่ยว โรงงานกระดาษไทยกาญจนบุรีให้เป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของจังหวัดกาญจนบุรี ด้วยการนำเสนอมุมมอง ที่แปลกใหม่ ทันสมัย ตอบสนองต่อนักท่องเที่ยวยุคใหม่ ทั้งยังกระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่มขีดความสามารถ ในการแข่งขันด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวให้กับจังหวัดกาญจนบุรี
โดยโรงงานกระดาษไทยเป็นสถาปัตยกรรมสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อสร้างขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2481 โดยวิศวกร และนายช่างจากประเทศเยอรมนี และเป็นสถาปัตยกรรมขนาดมหึมาท่ามกลางโบราณสถานกำแพงเมืองเก่า ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปีพ.ศ. 2475 คณะราษฎรต้องการให้ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรอุตสาหกรรม จึงสร้างโรงงานกระดาษนี้ขึ้นเป็นแห่งที่ 2 ต่อเนื่องจากที่สามเสนในกรุงเทพมหานคร แต่เป็นแห่งแรกที่มี การผลิตครบวงจร และใหญ่ที่สุดในเอเชีย ณ ขณะนั้น
นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ซึ่งมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบยุโรปโบราณ ที่หาชมได้ยาก ที่ใครต่างขนานนามให้เป็น "มิวเซียมอุตสาหกรรมแห่งแรกของไทย และเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงสังคมจากเกษตรกรรมเป็นอุตสาหกรรมของกาญจนบุรี" เป็นแหล่งชุมชน ที่มีเรื่องราว และอิทธิพลต่อสังคมในเมืองกาญจนบุรี ณ สมัยนั้น ซึ่งปัจจุบันสภาพทุกอย่างของโรงงาน ยังคงเหมือนเดิม ทั้งตัวโครงสร้าง ปล่องควัน เครื่องกำเนิดไฟฟ้า และเครื่องจักรผลิตกระดาษ ซึ่งเหลือเป็นชิ้นสุดท้ายของโลกที่ประเทศไทย อีกด้วย
ที่มา: บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์