การเพิ่มขึ้นของรายได้ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา เกิดจากการเติบโตของธุรกิจโรงแรมที่บริษัทฯ ลงทุนทั้ง 4 พอร์ตโฟลิโอ โดยเฉพาะผลประกอบการของโรงแรมในประเทศไทย ที่มีรายได้เติบโตขึ้นกว่า 3 เท่าตัวจากการเปิดประเทศ โดยทุกโรงแรมในประเทศไทยมีอัตราการเข้าพักในช่วงไตรมาสแรกของปีเฉลี่ย 85% และสามารถปรับอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยรายวัน (Average Daily Rate: ADR) ได้เพิ่มขึ้นกว่า 8% เมื่อเทียบกับปีก่อนเกิดโควิด-19
นอกจากนี้ผลประกอบการที่ยอดเยี่ยมในโครงการครอสโร้ดส์ มัลดีฟส์ (CROSSROADS Maldives) และพอร์ตโรงแรมที่สหราชอาณาจักร ก็ยังส่งสัญญาณบวกต่อการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยโรงแรมทั้ง 2 แห่งในโครงการ CROSSROADS มีความโดดเด่นและมีความแตกต่างแบบเฉพาะตัว สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้หลากหลายกลุ่ม ทำให้อัตราการเข้าพักเฉลี่ยเติบโตถึง 87% นับว่าเป็นสถิติที่สูงที่สุดตั้งแต่เปิดโครงการด้วยการมุ่งปรับกลยุทธ์ในการบริหาร RevPAR ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดร่วมกับการพัฒนาและปรับปรุงห้องพักเพื่อตอบสนองกระแสนิยมในการท่องเที่ยว และสำหรับกลุ่ม
โรงแรมสหราชอาณาจักรมีอัตราการเข้าพักสูงถึง 66% แม้จะอยู่ระหว่างช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว สามารถสร้างรายได้ต่อห้องพักต่อคืน (RevPAR) ที่ 50 ปอนด์ ซึ่งสูงกว่าปี 2562 ก่อนเกิดโควิด-19 ผลประกอบการที่แข็งแกร่งจากหลากหลายพอร์ตโฟลิโอนี้นับว่าเป็นก้าวสู่ความสำเร็จที่สำคัญของบริษัทฯ
นายเดิร์ก อังเดร ลีน่า เดอ คุยเปอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เผยว่า "ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 1 ปี 2566 นี้ บรรลุเป้าหมายที่เราวางไว้ ซึ่งเป็นผลมาจากความแข็งแรงของฐานรากทางธุรกิจที่พร้อมรับการเติบโตของการท่องเที่ยวได้อย่างเต็มศักยภาพ หนุนด้วยความมุ่งมั่นของเราในการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลต่าง ๆ การยกระดับผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อสอดคล้องต่อความต้องการสูงสุดของนักท่องเที่ยว เราเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ด้วยการฟื้นตัวที่แข็งแรงของภาคการท่องเที่ยวทั่วโลกในปีนี้ ผนวกกับผลสำเร็จของกลยุทธ์บริหาร RevPAR และการเดินหน้าปรับปรุงประสิทธิภาพของพอร์ตโฟลิโอ จะทำให้ผลประกอบการของ SHR ในปี 2566 นี้เป็นที่น่าประทับใจ และเป็นที่ประจักษ์ด้านความสามารถในการแข่งขันกับอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี"
ความมุ่งมั่นของ SHR สอดคล้องกับวิสัยทัศน์การพัฒนาอย่างยั่งยืนของ สิงห์ เอสเตท ด้าน ESG ทั้ง 3 มิติ พร้อมทั้งนำแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดด้านความยั่งยืนภายใต้มาตรฐาน Green Globe(TM) มาใช้ในการกำกับดูแลการบริหารจัดการ ซึ่งเป็นที่ยอมรับทั่วโลกว่าเป็นเกณฑ์มาตรฐานสูงสุดในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการ ทำให้ SHR ประสบความสำเร็จในการยกระดับโรงแรมในประเทศไทยและมัลดีฟส์ ได้แก่ ทราย ลากูน่า ภูเก็ต (SAii Laguna Phuket) ทราย พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ (SAii Phi Phi Island Village) สันติบุรี เกาะสมุย (Santiburi Koh Samui) และ โครงการครอสโร้ดส์ มัลดีฟส์ (CROSSROADS Maldives) ได้รับประกาศนียบัตรด้านความยั่งยืนในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวระดับสากล ด้วยการรับรองจาก Green Globe(TM) ซึ่งถือเป็นมาตราฐานที่ได้รับการยอมรับจากสภาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนระดับโลก (Global Sustainable Tourism Council) และองค์การการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ (UNWTO)
อีกหนึ่งพันธสัญญาสำคัญที่ SHR ตั้งใจจะผลักดันมาโดยตลอด คือการสร้างผลตอบแทนที่สูงสุดให้กับผู้ถือหุ้น เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ในการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ขออนุมัติที่ประชุม เพื่อโอนส่วนล้ำมูลค่าหุ้นสำหรับล้างผลขาดทุนสะสม ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ ไม่มีผลขาดทุนสะสมในงบการเงินเฉพาะกิจการ และสามารถจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นได้เมื่อบริษัทฯ มีกำไรจากการดำเนินงานในอนาคต ซึ่งถือเป็นการเตรียมพร้อมต่อสภาวะแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจที่จะฟื้นตัวในปี 2566 นี้ นอกจากนั้นแล้ว เพื่อสร้างสมดุลแหล่งเงินทุนของบริษัท และรองรับการเติบโตในอนาคต ที่ประชุมมีมติอนุมัติการออกหุ้นกู้ในวงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาท ซึ่งในอนาคต บริษัทฯ จะพิจารณาออกและเสนอขายหุ้นกู้ โดยคำนึงถึงความจำเป็นในการใช้เงินเพื่อรองรับการขยายกิจการ เพื่อการสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาว และ/หรือชำระคืนเงินกู้เดิมบนเงื่อนไขที่เหมาะสมของสภาวะตลาดตราสารหนี้ และต้นทุนทางการเงินของบริษัทฯ เพื่อบริหารต้นทุนให้เหมาะสมสูงสุด
นายเดิร์ก กล่าวปิดท้ายว่า "การกลับมาของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกหลังการยกเลิกข้อจำกัดในการเดินทางระหว่างประเทศ ทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างก้าวกระโดดในปีนี้ บวกกับกลยุทธ์ผลักดันธุรกิจที่เราดำเนินการมาตลอด SHR จะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวที่หลากหลายมากขึ้นจากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งเป็นแรงหนุนสำคัญที่ทำให้ธุรกิจของเราเติบโตได้เต็มอัตราและขยายตัวสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ด้วยการขับเคลื่อนรายได้ในปี 2566 นี้ ให้สูงกว่า 10,000 ล้านบาท โดยเราวางเป้าหมายอัตราการเข้าพักเฉลี่ยในปีที่ไม่ต่ำกว่า 75% ควบคู่กับการบริหารค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ เพื่อขับเคลื่อนผลกำไรของ SHR ในปี 2566 ให้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ"
ที่มา: เวเบอร์ แชนด์วิค