นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสาหร่ายทะเลแปรรูปทั้งในและต่างประเทศภายใต้ตราสินค้า "เถ้าแก่น้อย" รวมถึงขนมขบเคี้ยว และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2566 (มกราคม - มีนาคม) บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 1,243.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้จากการขายรวมทั้งสิ้น 968.2 ล้านบาท นับเป็นผลงานการเติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (New High) ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 166.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 164.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 62.8 ล้านบาท และสามารถทำอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) อยู่ในระดับ 13.3% โดยปัจจัยความสำเร็จดังกล่าว มาจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ให้มีความหลากหลาย (Product Mix) ทำให้สามารถจัดจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศได้มากขึ้น รวมถึงการดำเนินกลยุทธ์ "Go Firm" อย่างเคร่งครัด ทำให้สามารถปรับองค์กรให้กระชับ คล่องตัว และรวดเร็วขึ้น (Lean) เพื่อขับเคลื่อนแผนงานให้มีประสิทธิภาพ และรองรับโอกาสการขยายธุรกิจใหม่ๆ ได้เป็นอย่างดี
ปัจจุบัน สัดส่วนรายได้จากตลาดในประเทศคิดเป็น 38% และต่างประเทศ 62% ซึ่งทุกกลุ่มประเทศที่ส่งออกสินค้าไปทำตลาดมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศจีน อเมริกา รวมถึงประเทศในแถบอาเซียน หลังจากบริษัทฯ ได้เข้าไปทำกิจกรรมทางการตลาดเพิ่มการรับรู้ในตราสินค้า (Brand Awareness) ในกลุ่มผู้บริโภคที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ด้วยการใช้ Idol Marketing เพื่อสร้างการจดจำ และสร้างการรับรู้ในวงกว้างผ่านแบรนด์แอมบาสเดอร์ ซึ่งเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงทั้งในและต่างประเทศ โดยมีคาแรกเตอร์ที่เข้ากับแบรนด์ 'เถ้าแก่น้อย'
"ตลาดต่างประเทศมีอัตราการเติบโตสูง โดยประเทศจีนมีการเติบโตของยอดขายเพิ่มขึ้นมากกว่า 30% ขณะที่ตลาดในสหรัฐอเมริกา อาเซียน ยังคงเติบโตได้ดีเช่นกัน ซึ่งเราได้เดินหน้าพัฒนาสินค้าใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องรวมถึงเพิ่มสินค้ากลุ่มสาหร่ายอบที่มีแนวโน้มเติบโตดีและมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูง เพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดสาหร่ายในประเทศไทยในทุกเซกเมนต์"นายอิทธิพัทธ์ กล่าว
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TKN กล่าวว่า ส่วนแผนงานปีนี้ บริษัทฯ มั่นใจว่าจะทำยอดขายเติบโต 15% ได้ตามเป้าหมาย ผ่าน 3 แนวทางในการดำเนินธุรกิจ ได้แก่ 1.) เพิ่มการเติบโตของธุรกิจหลักสาหร่ายในทุกช่องทางทั้งในและต่างประเทศ โดยเร่งเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดสาหร่ายในประเทศ และเพิ่มการกระจายสินค้าในช่องทางร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม (Traditional Trade) ผ่านตัวแทนจำหน่ายท้องถิ่นกว่า 14 รายทั่วประเทศ ขณะที่ตลาดต่างประเทศ เร่งเพิ่มอัตราการเติบโตในตลาดสหรัฐอเมริกา อินโดนีเซีย มาเลเซีย เป็นต้น รวมถึงมุ่งเน้นการเพิ่มสินค้าใหม่และทำกิจกรรมทางการตลาดผ่านออนไลน์และออฟไลน์เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภค 2.) เพิ่มความสามารถในการทำกำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น โดยมุ่งเน้นการทำ Productivity เพื่อลดต้นทุน ทำกำไรในทุกช่องทางการขาย และออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีกำไรขั้นต้นที่ดี เพื่อเพิ่มอัตราการทำกำไรขั้นต้นโดยรวมให้ดียิ่งขึ้น และ 3.) สร้างการเติบโตของธุรกิจเถ้าแก่น้อย เรสเตอรองท์ แอนด์ แฟรนไซส์ โดยกลับมาเปิดร้านเถ้าแก่น้อยแลนด์ จำนวน 2 สาขา รองรับการกลับมาของจำนวนนักท่องเที่ยว และขยายธุรกิจ QSR ทั้งในส่วนของบริษัทฯ และแฟรนไชส์เพิ่มเติม
ที่มา: เอ็ม ที มัลติมีเดีย