นายสุขสันต์ ยศะสินธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CHAYO ผู้ดำเนินธุรกิจบริหารสินทรัพย์ทั้งที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน ธุรกิจเจรจาติดตามเร่งรัดหนี้สิน ธุรกิจปล่อยสินเชื่อ และกิจการศูนย์บริการข้อมูลลูกค้า เปิดเผยว่า บริษัทฯ รายงานผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 1/2566 (สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2566) มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 118.28 ล้านบาท (กำไรทุบสถิติใหม่ทำนิวไฮ) กำไรเติบโต 55.20 % เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2565 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 76.21 ล้านบาท โดยสาเหตุการเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่ของกำไรสุทธิเกิดจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อแก่หนี้ด้อยคุณภาพและการเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ยจากเงินให้กู้ยืม และนับเป็นกำไรสุทธิสูงสุดรายไตรมาสเท่าที่ได้ดำเนินการมา ทั้งนี้บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจำนวน 293.73 ล้านบาท หรือคิดเป็น 79.5% ของรายได้รวม เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/2565 จำนวน 124.21 ล้านบาท
สอดคล้องกับรายได้รวมจากการดำเนินงานของบริษัทฯ ประจำไตรมาส 1/2566 มีจำนวน 369.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 66.68% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2565 ที่มีรายได้อยู่ที่ 221.75 ล้านบาท โดยสาเหตุการเพิ่มขึ้นของรายได้ส่วนใหญ่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อแก่สินทรัพย์ด้อยคุณภาพและรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้กู้ยืมจำนวน 116.00 ล้านบาท และ 8.50 ล้านบาท ตามลำดับ
นอกจากนี้ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2566 บริษัทฯ มีรายได้จากธุรกิจเพิ่มเติม คือ ธุรกิจบริการจัดหาคนอีกจำนวน 22.50 ล้านบาท โดยเป็นผลมาจากการที่กลุ่ม บริษัทฯ มีการหาช่องทางในการทำธุรกิจใหม่เพิ่มเติม คือ การให้บริการจัดหาพนักงานให้กับโรงงานต่างๆ
ขณะที่ในงวดไตรมาส 1/2566 บริษัทฯ มียอดจัดเก็บจากหนี้ที่ไม่มีหลักประกันและยอดรายได้จากการขายหลักประกันของหนี้ด้อยคุณภาพจำนวน 105.10 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าไตรมาส1/2565 อยู่จำนวน 33.82 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 47.45% โดยที่ยอดจัดเก็บหนี้ชนิดไม่มีหลักประกันยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากในช่วงปลายปี 2564 ตลอดจนปี 2565 นั้น บริษัทฯ ได้มีการซื้อพอรต์หนี้ด้อยคุณภาพชนิดไม่มีหลักประกันมาบริหารเพิ่มเติมมากขึ้น จึงส่งผลให้บริษัทมีรายได้เพิ่มมากขึ้น
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ มีรายได้จากการให้บริการเร่งรัดหนี้สิน จำนวน 8.83 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 10.96% จากไตรมาส 1/2565 โดยมีสาเหตุจากปริมาณการว่าจ้างติดตามทวงถามมากขึ้น
นายสุขสันต์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ทิศทางธุรกิจในปี 2566 บริษัทฯ มั่นใจว่าจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้คือไม่น้อยกว่า 25% บริษัทได้เข้าประมูลและ/หรือเจรจาซื้อพอร์ตหนี้จากสถาบันการเงินเข้ามาบริหารเพิ่มอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้บริษัทเชื่อว่าน่าจะเป็นปีที่ดีอีกปีหนึ่งในการซื้อหนี้เสียมาบริหาร โดยบริษัทตั้งงบลงทุนในปีนี้อยู่ที่ 1,500 - 2,000 ล้านบาท สำหรับการซื้อหนี้เข้ามาบริหารเพิ่มเติม ทั้งนี้ไม่รวมโอกาสจากการ JV ที่จะจัดตั้งกับสถานบันการเงินตามนโยบายของ ธปท. โดยแหล่งเงินทุนมาจากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ในเดือนมีนาคม 2566 วงเงินกว่า 1,000 ล้านบาท และอีกราว 1,000 ล้านบาท เป็นเงินจาก Chayo JV ซึ่งบริษัทวางเป้าหมายจะซื้อมูลหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารให้พอร์ตเพิ่มประมาณ 10,000 - 16,000 ล้านบาท ส่งผลให้พอร์ตรวม ณ สิ้นปี 2566 น่าจะใกล้ 100,000 ล้านบาท โดย ณ สิ้นงวดไตรมาส 1/2566 พอร์ตหนี้คงค้างอยู่ที่ 85,853 ล้านบาท แบ่งเป็นหนี้มีหลักประกันจำนวน 20,651 ล้านบาท หรือ 24.05% และไม่มีหลักประกันจำนวน 65,202 ล้านบาทหรือ 79.95%
นอกจากนี้ ธุรกิจที่กำลังเติบโตอย่างการปล่อยสินเชื่อ เรามีรายได้ดอกเบี้ยจากการปล่อยสินเชื่อในไตรมาสแรกจำนวน 21.39 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65.95% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2565 โดยเป็นผลมาจากการปล่อยสินเชื่อทั้งที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกันเพิ่มมากขึ้น โดยยอดลูกหนี้เงินให้กู้ยืม ณ วันที่ 31 มีนาคม 2566 และ 2565 อยู่ที่ 668.56 ล้านบาท และ 387.22 ล้านบาท ตามลำดับ ถือเป็นทิศทางที่ดี โดยวางเป้าหมายทั้งปี 2566 ปล่อยสินเชื่อเพิ่มอีก 600-800 ล้านบาท สนับสนุนให้พอร์ตสินเชื่อคงค้าง ณ สิ้นปีจะเพิ่มเป็นกว่า 1,000 ล้านบาท จากสิ้นปีก่อนที่อยู่ที่ 600 ล้านบาท
ที่มา: ไออาร์ พลัส