นายสมประสงค์ กล่าวต่อว่าการได้รับคัดเลือกให้อยู่ในกลุ่ม ESG Emerging ในปี 2566 นี้ เป็นการตอกย้ำความสำเร็จของ PRIME ในการทุ่มเทความพยายามในการสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน รวมทั้งผู้มีส่วนได้เสีย ที่พิจารณาลงทุนตามวิถีการลงทุนอย่างยั่งยืน (Sustainable Investment) โดยเน้นปัจจัยด้านมิติสิ่งแวดล้อม (Environment) มิติสังคม (Social) และมิติธรรมาภิบาล (Governance) หรือ ESG มาเป็นองค์ประกอบในการตัดสินใจลงทุน ประกอบการพิจารณาตัดสินใจลงทุนควบคู่ไปกับการวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินของธุรกิจ เพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาวและสร้างผลกระทบเชิงบวกหรือลดผลกระทบเชิงลบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
ในเดือนพฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมาทาง PRIME ได้เข้าร่วมตอบแบบประเมินความยั่งยืน (THSI) กับทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ซึ่งประกอบด้วยตัวชี้วัดทั่วไป 20 หมวด ครอบคลุม มิติเศรษฐกิจ (รวมบรรษัทภิบาล) สังคมและสิ่งแวดล้อม ตัวชี้วัดตามลักษณะของธุรกิจในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น การบริหารความเสี่ยงที่เกิดขึ้นใหม่ การจัดการเรื่องสิ่งแวดล้อม การจัดการด้านความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นต้น โดยทางตลท.จะมีรอบการประกาศผลในเดือนตุลาคม 2566 นี้
นอกจากนี้ในปี 2566 ทาง PRIME ได้ดำเนินโครงการกิจกรรมเพื่อสังคมเพื่อส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ โดย บริษัท ไพร์ม โรด อัลเทอร์เนทีฟ (กัมพูชา) จำกัด ซึ่งได้ลงนาม MOU กับทางสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน (PDA) Population and Development International (PDI) The Bamboo School และ The Socio-Economic Vision Alliance (SEVA) - Cambodia เพื่อพัฒนาโรงเรียนต้นแบบจำนวน 2 โรงเรียน คือ Samaki Meanchey School และ Santepheab Primary School อยู่ใกล้กับพรมแดนไทยและกัมพูชา และเมื่อโรงเรียนต้นแบบประสบความสำเร็จ ทาง PDA และ Bamboo School จะช่วยเหลือแลละสนับสนุนทางด้านเทคนิคต่อ SEVA เพื่อทำให้กิจกรรมเพื่อสังคมนี้ สามารถดำเนินการได้กับโรงเรียนต่างๆในกัมพูชาต่อไป
PRIME เป็นบริษัทชั้นนำในการทำธุรกิจด้านพลังงานทดแทนซึ่งเป็นพลังงานสะอาดและมีผลงานในการพัฒนาและดำเนินงานโรงไฟฟ้าที่ได้รับการยอมรับระดับสากลและกระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้ในระดับสูง เนื่องจากมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับหน่วยงานภาครัฐ PRIME มีความมั่นใจในการบรรลุเป้าหมายภายในปี 2567 จะมีการลงทุนและก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานสะอาดอื่นๆ ทั่วเอเชีย ไม่น้อยกว่า 800 เมกะวัตต์ หรือมีกำลังการผลิตเติบโตขึ้นเกือบ 3 เท่าจาก ณ ปัจจุบัน แม้ว่าธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จะถือเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่การพัฒนาโครงการขนาดใหญ่นั้นมีขั้นตอนการจัดหาที่ดิน ดำเนินการใบอนุญาต และการก่อสร้างโรงไฟฟ้า ทำให้ระยะเวลาของกระแสเงินสดที่จะได้รับอยู่ในช่วงประมาณ 1-2 ปีเริ่มจากช่วงเวลาที่มีการลงทุนซึ่งทำให้มีหนี้สินเพิ่มขึ้น ทาง PRIME คาดการณ์ว่าสิ้นปี 2566 กำไรจากการดำเนินการจะดีขึ้นเนื่องจากมีโครงการใหญ่ดำเนินการขายไฟเต็มปี
ที่มา: ไพร์ม โรด เพาเวอร์