อีกไฮไลต์ ที่มาพร้อม McLaren 750S ได้แก่ ชุดท่อไอเสียด้านท้ายกลางตัวรถที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก McLaren P1(TM) พร้อมการปรับแต่งอะคูสติกให้โทนเสียงแตกต่าง คมชัดและค่อย ๆ ดังขึ้นในช่วงความเร็วรอบเครื่องยนต์สูง ชุดช่วงล่างใหม่ล่าสุด PCC III (McLaren's Proactive Chassis Control linked-Hydraulic Suspension) พร้อมชุดสปริง ชุดดูดซับแรงกระแทกแบบน้ำหนักเบาที่คำนวณและออกแบบใหม่ เพื่อความคล่องตัวกว่าในการขับขี่ ชุดพวงมาลัยแบบ Electro-Hydraulic ที่เลื่องชื่อ ผนวกอัตราทดที่เร็วขึ้น เพื่อการเข้าโค้งที่คมกริบมากยิ่งขึ้น ระบบเบรกใหม่อัปเกรดมาพร้อมชุดเบรกเซรามิค ชุดปั๊มสุญญากาศและบูสเตอร์ชุดใหม่ และชุด Monobloc Caliper ที่พัฒนาต่อจากระบบเบรกของ McLaren Senna เทคโนโลยีระบายความร้อนแคลิเปอร์เบรกที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรถ Formula 1 ระบบ Vehicle-Lift ใหม่ล่าสุด เพียงปุ่มเดียวก็สามารถยกด้านหน้าของรถขึ้นได้อย่างฉับพลันใน 4 วินาที ซึ่งเร็วกว่ารถ McLaren รุ่นอื่น ๆ และเร็วกว่า McLaren 720S (ที่ใช้เวลา 10 วินาที)
สำหรับ McLaren 750S รุ่น Spider ยังมีจุดเด่นที่น่าสนใจ คือ หลังคาแบบ Retractable Hard Top (RHT) ที่เปิดปิดได้เร็วกว่า 11 วินาทีที่ความเร็วไม่เกิน 50 กิโลเมตร/ชั่วโมง พร้อม Rollover Protection System และส่วนบนของโครงสร้างด้านหลังเชื่อมกันกับ Monocoque ที่มีคาร์บอนไฟเบอร์ เป็นวัสดุหลักและด้วยความแข็งแรงของวัสดุดังกล่าว จึงไม่ต้องเสริมความแข็งแรงเพิ่มเติม ทำให้มั่นใจว่า McLaren 750S Spider จะสร้างความประทับใจในเรื่อง Power-to-Weight Ratio และทำให้เป็นผู้นำ ในกลุ่มตลาดนี้ ด้วยสัดส่วน 566 แรงม้า/ตัน และ Dry Weight ที่เบาที่สุดที่ 1,326 กิโลกรัม
McLaren พัฒนา McLaren 750S ให้แตกต่างออกไปจาก McLaren 720S ไม่ว่าจะเป็นส่วนของปลายด้านหน้ารถ (จมูกรถ) ที่ต่ำลง ออกแบบให้ช่องรับอากาศเข้าบริเวณไฟหน้าหรือ Eye Socket ให้แคบลง Sill Air Intake แบบใหม่ ช่องรับอากาศเข้าแบบใหม่บริเวณซุ้มล้อหลัง ระบบควบคุมอากาศพลศาสตร์ด้านหลัง พร้อมปรับการออกแบบเพิ่มความยาวส่วนหลังเพื่อรีดลมไปยังปีกคาร์บอนไฟเบอร์ด้านหลังที่ออกแบบให้สูงขึ้นและยาวขึ้น โดยปีกชุดนี้อยู่เหนือชุดท่อไอเสียตรงกลาง
ด้าน นายวิทวัส ชินบารมี กรรมการผู้จัดการบริษัท นิซ คาร์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวถึงความพิเศษของรถรุ่นนี้ว่า "คุณสมบัติที่โดดเด่นของ McLaren 750S เป็นรุ่นที่ผลิตในจำนวนจำกัดและเป็นเครื่องยนต์ เผาไหม้ภายใน 100 % รุ่นสุดท้ายของ McLaren ซึ่งยังคงให้อารมณ์ในการขับขี่ที่นักขับต้องการมากที่สุด ได้แก่ เสียงเครื่องยนต์ การเปลี่ยนเกียร์ Engine Break ฯลฯ ซึ่งรถในอนาคตที่ไม่ใช่เครื่องยนต์เผาไหม้ภายในไม่สามารถให้ได้ สิ่งเหล่านี้ทำให้ McLaren 750S กลายเป็นรถที่หายากไปแล้ว ด้วยน้ำหนักเบาเพียง 1,389 กิโลกรัม (สำหรับ McLaren 750S รุ่น Coupe) จึงทำให้รถรุ่นนี้ เป็นรถที่เป็น Iconic Super Series ของเรา และยังสามารถเก็บเป็นคอลเลกชันได้อีกนาน เนื่องจากในอนาคต ตลาดรถยนต์ รวมถึงซูเปอร์คาร์ จะมียานยนต์ไฟฟ้าเข้ามาเป็นพื้นฐานของรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ อย่างแน่นอน
ในส่วนของตลาดประเทศไทยเอง McLaren Bangkok เรามุ่งเน้นไปยังกลุ่มลูกค้าที่เป็นคนชอบรถและชอบขับรถ ซึ่งคนรักรถตัวจริงจะรู้ดี ว่ารถมีความรู้สึกอย่างไร เข้าใจเรื่องรถ และมีพื้นฐานที่ดีในการขับขี่ ไม่ได้เป็นกลุ่มที่ขับเพื่อแสดงฐานะแต่อย่างใด หรือเรียกอีกอย่างว่าเป็นความหลงใหลในการขับขี่รถยนต์
สำหรับยอดจำหน่ายในปีนี้ เราไม่ได้ตั้งเป้าไว้เป็นพิเศษ เนื่องจากว่า ภายหลังการจัดงานเปิดตัวครั้งแรก ในโลก (World Premier) ไปเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทำให้ยอดสั่งจองจากทั่วโลก มีเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้การส่งมอบรถล่าช้า เพราะรถไม่เพียงพอกับความต้องการของลูกค้าทั่วโลก และในส่วนของฝั่งประเทศไทยเองก็เช่นกัน ทาง McLaren Bangkok คาดว่า ทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนการที่วางไว้ได้ ในช่วงปี 2567 ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยในอนาคตต่อไปด้วย และเพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจก่อนการจับจองเป็นเจ้าของ McLaren 750S เราขอฝากถึงคนที่ชื่นชอบการขับรถ แต่ยังไม่เคยได้ลองขับ McLaren และอยากเข้ามาสัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ ท่านสามารถติดต่อขอทดลองขับได้ที่โชว์รูม McLaren Bangkok หรือช่องทางออนไลน์หลักของเราครับ" นายวิทวัส ชินบารมี กล่าวทิ้งท้าย.
ติดตามความเคลื่อนไหวของเราได้ทาง
Facebook: https://www.facebook.com/McLarenBKK
Instagram: https://www.instagram.com/mclarenbangkok/
Website: https://bangkok.mclaren.com/en
Tel: 02-321-1111, 081-434-7777
ที่มา: Hi-Like Agency