ผู้ว่าการ วว. กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้คือการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลเข้ากับระบบคลังข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทย เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศ สอดคล้องกับกรอบแนวคิดการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG โดย วว. มีฐานข้อมูลด้านความหลากหลายทางชีวภาพที่สำคัญของประเทศ อาทิ ศูนย์จุลินทรีย์ ซึ่งเป็นแหล่งรวบรวมการเก็บรักษาสายพันธุ์จุลินทรีย์นอกถิ่นกำเนิด ที่มีประโยชน์ต่อภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรมและสิ่งแวดล้อม ภายใต้ระบบมาตรฐานสากล (ISO) ที่ให้บริการด้านจุลินทรีย์ (Service Culture Collection) แห่งเดียวในประเทศไทยและได้รับการจัดตั้งขึ้นโดย UNESCO เมื่อปีพ.ศ. 2519 รวมทั้งสถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช ซึ่งได้รับการรับรองจาก UNESCO ภายใต้โครงการ MAB (Man and Biosphere Program) ให้เป็นแหล่งสงวนชีวมณฑลแห่งหนึ่งของโลกซึ่งเป็นแห่งแรกของประเทศไทย และเป็น 1 ใน 7 แห่งของเอเชีย ที่เป็นพื้นที่อนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในถิ่นกำเนิด (In-situ) และเป็นพื้นที่สำคัญของประเทศ ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับหน่วยงานและผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน อีกทั้งยังส่งผลดีต่อการวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมร่วมกันอย่างยั่งยืนต่อไป
เลขาธิการ สผ. กล่าวว่า จุดเริ่มต้นของระบบคลังข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทย (TH-BIF) มาจากการดำเนินงานเพื่อตอบสนองทิศทางนโยบายของประเทศไทยในเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพและการจัดการข้อมูล โดยเฉพาะการดำเนินงานภายใต้แผนการปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2561 - 2565 ในประเด็นปฏิรูปเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อมุ่งมั่นพัฒนาระบบด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม ขยายการดำเนินงานเชื่อมโยงฐานข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพกับหน่วยงานเครือข่ายเพิ่มขึ้น เพื่อให้ TH-BIF มีข้อมูลที่พร้อมใช้ มีความถูกต้อง เป็นปัจจุบัน สามารถใช้เป็นเครื่องมือสนับสนุนการวางแผน และประกอบการตัดสินใจในการอนุรักษ์ฟื้นฟูและใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพ รวมถึงการเข้าถึงข้อมูลการใช้ทรัพยากรชีวภาพในอนาคต เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศและประชาชนร่วมกันต่อไป
ที่มา: สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย