เศรษฐกิจของรัฐซาราวัก คาดว่าจะมีการเติบโต ประมาณ 6% โดยการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเป็นวาระสำคัญที่รัฐบาลใช้ในการผลักดันการพัฒนาประเทศ เพื่อให้ตอบสนองต่อนโยบายของรัฐซาราวักที่วางแผนเร่งรัดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน อาทิเช่น ถนนเชื่อมระหว่างเมือง ทางหลวง และสะพาน เพื่อให้แน่ใจว่าโครงสร้างพื้นฐานมีการเชื่อมต่อที่ดีขึ้น สามารถอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุน รวมทั้งส่งเสริมเศรษฐกิจภายในประเทศ ดังนั้นการเพิ่มประสิทธิภาพและความยั่งยืนของอุตสาหกรรมซีเมนต์และคอนกรีตจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ทำให้ อินโนซีเมนต์ ลงนามความร่วมมือกับ เอสซีจี อินเตอร์เนชั่นแนล บริษัทผู้นำด้านซัพพลายเชนระหว่างประเทศครบวงจรด้วยประสบการณ์กว่า 40 ปี ในการจัดหาสินค้าวัสดุก่อสร้าง รวมถึงการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้พัฒนากระบวนการดำเนินงานเป็นประโยชน์ต่อภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างที่กำลังเติบโตของรัฐซาราวัก อาทิเช่น การผลิตคอนกรีตผสมเสร็จ การจัดตั้งระบบ Debagging และขนส่งปูนซีเมนต์ ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า "เอสซีจี มีแนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ที่มุ่งบรรลุเป้าหมาย "Net Zero Cement & Concrete ภายในปี 2050" และเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายนี้ เรามีความยินดีที่จะสนับสนุนปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ และแชร์ความรู้และเทคโนโลยีในกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแก่ InnoCement โดยการร่วมมือกันครั้งนี้ เอสซีจี จะใช้ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีระบบการปฏิบัติงานในโรงงานคอนกรีตผสมเสร็จ ในการส่งเสริมการบริหารโครงการของ InnoCement ให้อุตสาหกรรมการก่อสร้างของรัฐซาราวักเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว"
"เอสซีจี อินเตอร์เนชั่นแนล เรามีความมุ่งมั่นที่จะเป็น "A Trusted International Supply Chain Partner" ให้กับคู่ธุรกิจ ด้วยการใช้ความรู้และความเชี่ยวชาญในเรื่องธุรกิจซีเมนต์ของเครือเอสซีจีที่มีมาอย่างยาวนาน มาสนับสนุนในการร่วมมือครั้งนี้ รวมถึงการจัดหาอุปกรณ์และเทคโนโลยี ไปจนถึงการจัดการซัพพลายเชนในการผลิตคอนกรีตผสมเสร็จของ อินโนซีเมนต์ เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมการก่อสร้าง ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของรัฐซาราวักในระยะยาว" นายอบิจิต ดัดต้า กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี อินเตอร์เนชั่นแนล คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าว
ที่มา: เอสซีจี