สำหรับขอบเขตการดำเนินงานภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือนี้ ครอบคลุม 6 ภารกิจหลัก ได้แก่ 1) การอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ ระบบนิเวศ และความหลากหลายทางชีวภาพ ร่วมกับกรมป่าไม้และชุมชนในพื้นที่ เพื่อการมีส่วนร่วมในการรักษาป่าต้นน้ำในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติและในพื้นที่โครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล (คทช.) และในพื้นที่ป่าชุมชน 2) การสนับสนุนให้เกิดพื้นที่ป่าอย่างมีส่วนร่วม โดยการปลูกป่า ในพื้นที่ของรัฐผ่านกลไกคาร์บอนเครดิต 3) การสนับสนุนและส่งเสริมการพัฒนาเส้นทางศึกษาธรรมชาติและระบบสื่อความหมายในพื้นที่ป่านันทนาการ 4) การสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ตามภารกิจของกรมป่าไม้ในการดูแล ส่งเสริม อนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และการมีส่วนร่วมในการดูแลผืนป่า 5) การสร้างเครือข่ายชุมชนและเยาวชน เพื่อการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ และ 6) การสนับสนุนงานสำรวจ ศึกษาวิจัย และส่งเสริมบุคคลากร เพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ป่า
นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ประธานกรรมการ มูลนิธิไทยรักษ์ป่า และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า มูลนิธิไทยรักษ์ป่าขับเคลื่อนภารกิจด้านการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและป่าต้นน้ำให้คงอยู่อย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นปัจจัยตั้งต้นของพลังงานและสิ่งมีชีวิตทั้งหมด มาอย่างต่อเนื่องกว่า 2 ทศวรรษ บนหลักการที่ว่า "คนอยู่ได้ ป่าอยู่ได้" ด้วยการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและชุมชนในพื้นที่ มูลนิธิฯ ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับกรมป่าไม้ โดยมีแผนการดำเนินงานร่วมกันเป็นเวลา 5 ปี (ปี 2566-2570) โดยมุ่งต่อยอดและขยายผลการดำเนินงานที่ผ่านมาให้เกิดประโยชน์สูงสุดและครอบคลุมงานอนุรักษ์ในหลากหลายมิติมากยิ่งขึ้น ด้วยเป้าหมายสำคัญคือ การร่วมมือกับภาครัฐ เครือข่ายชุมชน และเครือข่ายเยาวชน ในการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากพื้นที่ป่าอย่างยั่งยืน การฟื้นฟูพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมและปรับวนเกษตร 5,000 ไร่ การบำรุงรักษาและฟื้นฟูพื้นที่ป่าผ่านกลไกคาร์บอนเครดิตกว่า 20,000 ไร่ ในพื้นที่ป่าชุมชนเป้าหมาย 10 แห่ง ในพื้นที่การดำเนินงาน 3 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ นครศรีธรรมราช และชัยภูมิ
นอกจากนี้ เอ็กโก กรุ๊ป ซึ่งก่อตั้งและสนับสนุนการดำเนินงานของมูลนิธิไทยรักษ์ป่า ยังมีส่วนร่วมในการหนุนเสริมโอกาสและศักยภาพของชุมชนในการบริหารจัดการป่าและคุณภาพชีวิตของชุมชนให้ยั่งยืน โดยการสนับสนุนโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program: T-VER) ประเภทป่าไม้และพื้นที่สีเขียวด้วย
"ความร่วมมือระหว่างกรมป่าไม้และมูลนิธิฯ จะช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเครือข่าย การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและป่าต้นน้ำของประเทศ รวมถึงสนับสนุนและต่อยอดผลการดำเนินงานของมูลนิธิฯ ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ นครศรีธรรมราช และชัยภูมิ ให้ครอบคลุมพื้นที่ป่าที่อยู่ในความดูแลของกรมป่าไม้ เพื่อให้การดูแลรักษาป่าต้นน้ำแห่งสำคัญของประเทศมีความต่อเนื่องและยั่งยืน ในขณะเดียวกัน การดำเนินงานของมูลนิธิฯ โดยเฉพาะการบำรุงรักษาและฟื้นฟูพื้นที่ป่าผ่านกลไกคาร์บอนเครดิต จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมให้ภาคประชาชนและชุมชนหันมาดูแลรักษาป่าและระบบนิเวศของป่าที่ตนเองอาศัยและพึ่งพาเพื่อการดำรงชีวิตอย่างจริงจัง โดยได้รับโอกาสและผลกำไรจากการดูแลรักษาป่าเป็นการตอบแทน นอกจากนี้ ยังจะมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนเอ็กโก กรุ๊ป ให้สามารถบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ได้ภายในปี 2050 (2593)" นายเทพรัตน์ กล่าว
นายสุรชัย อจลบุญ อธิบดีกรมป่าไม้ เปิดเผยว่า กรมป่าไม้ให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการสนับสนุนการขับเคลื่อนการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการพัฒนาป่าชุมชนของประเทศให้ประสบผลสำเร็จอย่างยั่งยืน โดยความร่วมมือระหว่าง 2 หน่วยงานในครั้งนี้อยู่บนพื้นฐานการทำงานที่สอดคล้องกันคือ การบริหารจัดการทรัพยากรป่าไม้โดยการมีส่วนร่วม และมุ่งเป้าให้คนกับป่าสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุลและยั่งยืน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนเป้าหมายของกรมป่าไม้ตามยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี ในการเพิ่มพื้นที่ป่าและพื้นที่สีเขียวให้ได้ 55% ของพื้นที่ประเทศ และเป้าหมายการส่งเสริมจัดตั้งป่าชุมชนให้ครบ 15,000 ป่าชุมชน โดยชุมชนมีส่วนร่วมจำนวน 18,000 หมู่บ้าน พื้นที่ไม่น้อยกว่า 10 ล้านไร่ ภายในปี พ.ศ.2570 เพื่อสนับสนุนให้ชุมชนร่วมดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศให้มีความอุดมสมบูรณ์และยั่งยืน ทั้งนี้ กรมป่าไม้ยินดีสนับสนุนและผลักดันการดำเนินงานของมูลนิธิฯ ภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือนี้ให้มีผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป