ดร.ชาคริต ศึกษากิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท เวชธานี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จุดแข็งของ เวชธานี คือ การเป็นโรงพยาบาลที่มีความพร้อมในการรักษาผู้ป่วย โดยแพทย์เฉพาะทางหลากหลายสาขา ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย ประกอบกับความสามารถของบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความชำนาญในด้านต่าง ๆ เพื่อประสิทธิภาพการดูแลรักษาสูงสุด ปัจจุบันมีศูนย์การบริการทางการแพทย์เฉพาะทางมากกว่า 20 ศูนย์
โรงพยาบาลเวชธานี นับเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่มีแนวคิดการทำธุรกิจ เน้นสร้างความยั่งยืนในระยะยาวมานานกว่า 10 ปี โดยไม่ได้มองตลาดในประเทศเพียงอย่างเดียวแต่ขยายให้กว้างขึ้นเป็นทั้งโลก ทำให้ตลาดลูกค้าชาวต่างชาติ ใกล้เคียงกับลูกค้าชาวไทย นั่นแสดงให้เห็นว่าโรงพยาบาลนั้นมีคุณภาพมาตรฐานระดับสากลจนเป็นที่ยอมรับ โดยล่าสุดได้การรับรองระดับโลกจาก Global Healthcare Accreditation for Medical Travel Services นับเป็นโรงพยาบาลแห่งที่ 5 ของโลก ที่ได้รับการรับรองคุณภาพดังกล่าว ถือเป็นการตอกย้ำคุณภาพระดับสูงในการให้บริการแก่ผู้รับบริการทั่วโลก ที่เดินทางมารับการรักษาพยาบาล ณ โรงพยาบาลเวชธานี และสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็น Medical Hub อย่างแท้จริง
ทั้งนี้เห็นได้จาก ภายหลังจากที่มีการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่ในครึ่งหลังปี 2565 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ธุรกิจโรงพยาบาลเวชธานีมีทิศทางการฟื้นตัวที่ดี โดยเฉพาะการกลับมาใช้บริการของลูกค้ากลุ่มหลักที่เป็นชาวต่างชาติ ได้แก่ กลุ่มตะวันออกกลาง และกลุ่ม CLMV (กัมพูชา, ลาว, พม่า, เวียดนาม) และแถบแอฟริกา โดยจะเห็นได้ชัดในช่วงครึ่งแรกปี 2566 จำนวนลูกค้าชาวต่างชาติมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 30-50% และเชื่อว่าในปี 2567 อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะเติบโตดีมาก ทำให้กลุ่มนักนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical Traveler) หลั่งไหลเข้ามาประเทศไทย ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจของเวชธานีเช่นกัน
"สำหรับตลาด Medical Traveler เวชธานีค่อนข้างแข็งแกร่ง เพราะโฟกัสต่อเนื่องมา 15 ปีแล้ว ประกอบกับชื่อเสียงของเราที่มีความเฉพาะทางหลากหลายสาขา ซึ่งสามารถรักษาคนไข้ที่เป็นโรคซับซ้อน โดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับกระดูกและข้อที่ถือเป็นจุดแข็งของเวชธานี คนในตะวันออกกลางให้ฉายาเราว่า King of Bonesซึ่งการทำตลาดในต่างประเทศเริ่มต้นจากการดูแลคนไข้ที่มาหาให้ดีด้วยความเฉพาะทางที่เรามี และพยายามทำสิ่งนั้นให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ จนมีการบอกต่อ เพราะธุรกิจการแพทย์เป็นเรื่องปากต่อปาก เมื่อโรงพยาบาลรักษาคนไข้หายก็จะบอกต่อกันไปเรื่อย ๆ เราเพิ่งเปิดศูนย์มะเร็งเมื่อปลายปีที่ผ่านมา เน้นให้บริการดูแลรักษาผู้ป่วยแบบองค์รวมและครอบคลุมด้วยนวัตกรรมการรักษาที่กล้าพูดได้ว่าตอนนี้เราเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่แรกที่ใช้นวัตกรรมนี้ นั่นคือ Cancer Vaccine และ Cancer Avatar ซึ่งได้ร่วมกันวิจัยและพัฒนานวัตกรรมนี้กับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการตรวจวินิจฉัยอย่างแม่นยำและการรักษาอย่างตรงจุด "
ดร.ชาคริต กล่าวต่อว่า สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจของโรงพยาบาลเวชธานี ยังคงมุ่งสู่เป้าหมายการเป็นโรงพยาบาลเอกชนเฉพาะทางชั้นนำระดับตติยภูมิในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยล่าสุดมีแผนเตรียมเปิด "โรงพยาบาลเฉพาะทางด้านสุขภาพจิต ภายใต้ชื่อ Bangkok Mental Health Hospital : BMHH" ตั้งอยู่ถนนติวานนท์ 39 ชูกลยุทธ์สร้างความแตกต่างอย่างโดดเด่นจากโรงพยาบาลทั่วไป ทั้งเรื่องบริการ การออกแบบโรงพยาบาลโดยประสบการณ์ของทีมบุคลากรทางการแพทย์เฉพาะทางด้านจิตเวช เพื่อให้เหมาะกับผู้รับบริการ พร้อมทั้งนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ตลอดจนเครื่องมือทางการแพทย์และยาใหม่ๆ มาช่วยเสริมกับความชำนาญของทีมแพทย์ที่เป็นอันดับต้น ๆ ของเมืองไทย จึงมั่นใจว่าจะทำให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงที่สุด ซึ่งเราจะนำความโดดเด่นเหล่านี้มาสร้างการรับรู้และความเชื่อมั่นต่อกลุ่มเป้าหมาย
เทรนด์ด้านสุขภาพและคุณภาพชีวิต (Health and wellness) เป็นเมกะเทรนด์ที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ และโรงพยาบาลเฉพาะทางก็เป็นที่ต้องการของตลาด เพราะคนไข้ต้องการทางเลือกในการรักษาที่ดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในราคาที่ไม่แพงจนเกินไป จากข้อมูลสถิติโลกพบว่าผู้ป่วยด้านสุขภาพจิตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยในประเทศไทยจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้น 2 เท่าในระยะ 6 ปี ข้อมูลจากระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ในปี 2565 มีผู้ป่วยจิตเวชเข้ารับการรักษามากถึง 2.5 ล้านคน ทำให้ความต้องการบริการด้านสุขภาพจิตและจิตเวชเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว กล่าวได้ว่าปัจจุบันนี้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาด้านสุขภาพจิตในคนไทยเองก็มีความเข้าใจดีมากขึ้น และความสำคัญของการดูแลสุขภาพจิตมากขึ้นเช่นกัน
โดยเฉพาะผู้ป่วยเอง หรือญาติผู้ป่วยกล้าไปพบแพทย์ด้านจิตเวชมากขึ้น เวชธานีมองเห็นเทรนด์ที่เกิดขึ้น ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จึงได้ทำการศึกษาอย่างจริงจัง ทำให้เห็นภาพชัดขึ้น พร้อมนำองค์ความรู้ไปดูแลผู้ป่วย แม้ว่าในแง่ของผลตอบแทนทางธุรกิจจะไม่ได้สูงมาก แต่การได้เข้าไปอยู่ในตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูง ก็หวังว่าในอนาคตจะเชื่อมตลาดด้านสุขภาพจิตกับตลาดด้านสุขภาพทางกายเข้าด้วยกันในแง่มุมใดแง่มุมหนึ่ง และเปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้เรื่องสุขภาพจิตมากขึ้น
"ความคาดหวังของ BMHH คืออยากเป็นโรงพยาบาลเอกชนด้านสุขภาพจิตชั้นนำที่ประสบความสำเร็จในภูมิภาคนี้ มีขีดความสามารถในการรักษาโรคทางสุขภาพจิต แต่เราไม่ได้คาดหวังในเชิงธุรกิจมากนัก แค่รักษาให้ดี สามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติให้เข้ากับสังคมได้ โดยตั้งเป้าหมายให้เป็นที่รู้จักในประเทศไทยภายใน 2 ปี ซึ่งมีความเป็นไปได้สูง เพราะเราโชคดีสามารถฟอร์มทีมได้เร็ว มีหมอที่มีชื่อเสียงมานำทีม และมีหมอจบเฉพาะทางมาจากต่างประเทศ หมอเก่ง ๆ เริ่มงานกับเรา ถือเป็นแนวโน้มที่ดี และเมื่อถึงจุดหนึ่งจะไปเน้น Medical Traveler เช่นเดียวกัน ซึ่งเรื่องสุขภาพจิตในต่างประเทศเป็นเรื่องที่บูมมาก" ดร.ชาคริต กล่าวทิ้งท้าย
ที่มา: ชมฉวีวรรณ