นายพายุพัด มหาผล กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย บริษัท ไอ ทู เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด (มหาชน) (I2) มั่นใจว่าหุ้น I2 ที่จะเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เป็นวันแรก ในวันที่ 8 สิงหาคม 2566 จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างดี จากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และจากประสบการณ์ของทีมผู้บริหารที่คร่ำหวอดในวงการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ มากกว่า 17 ปี
ทั้งนี้ การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะทำให้บริษัทมีฐานทุนที่แข็งแกร่งขึ้น เพื่อนำมาต่อยอดธุรกิจ เนื่องจาก I2 เป็นบริษัทที่อยู่ในธุรกิจด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาประเทศไทย โดยเฉพาะเมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวและการกลับมาของงานภาครัฐ ประกอบกับประเภทธุรกิจและความไว้วางใจของกลุ่มลูกค้า ส่งผลให้บริษัทมีโอกาสได้รับงานที่เข้าร่วมประมูลกับทางภาครัฐและหน่วยงานรัฐวิสาหกิจค่อนข้างสูง
"มั่นใจว่า I2 เข้าซื้อขายวันแรกจะได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นจากนักลงทุน เนื่องจาก I2 มีการเติบโตที่น่าสนใจ โดยหลังได้รับเงินระดมทุน IPO จะทำให้บริษัทฯมีการเติบโตอย่างโดดเด่นและต่อเนื่อง แม้ว่าสภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงนี้จะมีความผันผวนก็ตาม แต่จากจุดเด่นของบริษัทไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของศักยภาพการดำเนินโครงการโดยทีมผู้บริหารและพนักงานที่มีประสบการณ์คร่ำหวอดในธุรกิจดังกล่าว การได้รับความไว้วางใจจากกลุ่มลูกค้า มีพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง รวมไปถึงโอกาสที่จะได้รับงานขนาดใหญ่เพิ่มมากขึ้นในอนาคต จึงมองว่าเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าลงทุนของนักลงทุน" นายพายุพัด กล่าว
นางสาวมนวลัย รัชตกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอส 14 แอดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน มั่นใจว่าหุ้น I2 จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างดี เนื่องจากมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และโอกาสการเติบโตอย่างก้าวกระโดด หลังเข้าระดมทุนตลาดหุ้น อีกทั้ง ราคาเสนอขายหุ้นไอพีโอที่ราคา 2.70 บาท/หุ้น ถือเป็นราคาที่เหมาะสม และมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 50% สร้างความน่าสนใจให้กับ I2 ได้อีกด้วย
"เชื่อมั่นว่าหุ้น I2 จะเป็นอีกหุ้น Growth Stock ที่น่าจับตามอง เนื่องจากกลุ่มลูกค้าเกือบ 100% เป็นภาครัฐและหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ทำให้เห็นถึงความมั่นคงของฐานรายได้ที่จะทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง สามารถแตกแขนงการให้บริการออกไปได้อีกหลากหลายช่องทาง สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตและงานในมือที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกจากสิ้นไตรมาส 1/66 มีมูลค่า 961.25 ล้านบาท ซึ่งสามารถรับรู้รายได้ในระยะยาว ดังนั้นจึงมั่นใจว่า I2 จะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนอย่างคึกคัก" นางสาวมนวลัย กล่าว
ด้านนายอธิพร ลิ่มเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอ ทู เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด (มหาชน) (I2) เชื่อว่าหุ้น I2 จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เนื่องจากเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ที่มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และจากความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านรวมถึงประสบการณ์การทำงานของทีมผู้บริหารที่ทำงานด้านเทคโนโลยีมาอย่างยาวนาน จะช่วยเป็นแรงขับเคลื่อนให้ธุรกิจมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทฯยังมีพันธมิตรที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะบริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) (MFEC) ซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์ที่ดีต่อกันมายาวนาน และภายหลังการเสนอขายหุ้นไอพีโอครั้งนี้กลุ่ม MFEC จะยังคงรักษาสัดส่วนการถือหุ้นที่ 15% เท่าเดิม จากการให้บริษัท ซินเนอร์ยี่ กรุ๊ป เวนเจอร์ส จำกัด (SGV) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ MFEC ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 100 มีทุนจดทะเบียน 500 ล้านบาท เข้าซื้อหุ้นบนกระดานซื้อขายรายใหญ่ (Big lot) ในราคาไอพีโอในวันแรกของการเข้าซื้อขาย
"การเป็น Strategic Partner กับ MFEC ช่วยเพิ่มโอกาสในการรับงานขนาดใหญ่ได้มากขึ้น เนื่องจาก MFEC มีความเชี่ยวชาญในกลุ่มงานเอกชน ส่วน I2 มีความเชี่ยวชาญในกลุ่มงานภาครัฐและหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ซึ่งต่อไปในอนาคต เชื่อมั่นว่า MFEC จะเป็นจิ๊กซอร์ชิ้นสำคัญที่เข้ามาช่วยต่อยอดธุรกิจและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัท โดยเราสามารถศึกษาและรับองค์ความรู้จากความเชี่ยวชาญที่ MFEC มีและพร้อมที่จะเติบโตไปด้วยกัน ทั้งนี้กลุ่ม MFEC ได้แสดงเจตนารมณ์ว่าการเข้าซื้อหุ้นเพิ่มเติมในครั้งนี้เป็นการลงทุนในระยะยาว ไม่มีแผนขายหุ้นออกเพื่อทำกำไรในเร็วๆ นี้ และวางแผนที่จะซินเนอร์ยี่ร่วมกันต่อไปในอนาคต"
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร I2 กล่าวต่อว่า เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2566 ที่ผ่านมา กิจการค้าร่วมไอทูวาร์ ซึ่งเป็นกิจการร่วมค้า ระหว่าง บมจ.ไอ ทู เอ็นเตอร์ไพรซ์ กับ บริษัท วี เอ อาร์ เอส จำกัด ได้เข้าร่วมในพิธีลงนามสัญญาโครงการซื้อขายพร้อมติดตั้งระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้าด้วยแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage System : BESS) บนพื้นที่เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี กับ บริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือแห่งแรกของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) มีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจ ซึ่ง BESS หรือ เทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ จะช่วยลดความผันผวนในระบบไฟฟ้าที่มาจากพลังงานหมุนเวียนทั้งพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ที่ผลิตไฟฟ้าได้เป็นบางช่วงเวลา แบตเตอรี่นี้จะทำหน้าที่กักเก็บสะสมพลังงานส่วนเกินจากระบบส่ง เพื่อนำไฟฟ้ามาจ่ายในช่วงเวลาที่ต้องการได้ โดยมีมูลค่าโครงการรวม 1,541.28 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
ที่มา: ไออาร์ เน็ตเวิร์ค