วัตถุประสงค์ในการจัดตั้ง บริษัท บิทคับ มูนช็อต จำกัด ในครั้งนี้ คือ การก่อตั้งบริษัทที่มุ่งเน้นให้บริการสร้างสรรค์ทุกความต้องการด้านเทคโนโลยี รวมถึงการผลิตแอปพลิเคชันบนบล็อกเชน (DApp : Decentralized Application), การพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI : Artificial Intelligence) รวมทั้งการพัฒนาแพลตฟอร์มระดับองค์กร ทั้งในหน่วยงานราชการและภาคเอกชน เพื่อให้ธุรกิจสามารถปรับตัวกับโลกดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ตลอดจนแก้ไขปัญหาด้านเทคโนโลยีภายในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้ทีมงานคุณภาพที่มีความเชี่ยวชาญ พร้อมที่จะพัฒนาโซลูชันที่ยืดหยุ่นและปลอดภัยในระดับสูงเพื่อตอบสนองวัตถุประสงค์ทางธุรกิจของลูกค้า โดย บิทคับ มูนช็อต จะเน้นการให้บริการใน 3 ส่วนหลัก ได้แก่ Consultation, Tech Partner และ Turnkey Solution
ภายในงานได้รับเกียรติจาก นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ร่วมแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับเทรนด์และประโยชน์ของปัญญาประดิษฐ์จากประสบการณ์ตรงและเหตุผลที่บิทคับเลือกที่จะเดินทางเข้าสู่วงการเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในครั้งนี้
นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด เปิดเผยว่า "ขอขอบคุณพี่ ๆ สื่อมวลชนและแขกผู้มีเกียรติทุกท่านที่ให้เกียรติมาร่วมงานเปิดตัว Bitkub AI ในวันนี้ เหตุผลสำคัญที่ บริษัท บิทคับ เวนเจอร์ จำกัด และ บริษัท ไทย จีพีที จำกัด ร่วมกันเปิดตัว Bitkub AI ภายใต้ บริษัท บิทคับ มูนช็อต จำกัด ในครั้งนี้ เนื่องจากเรากำลังจะเข้าสู่จุดที่โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT Infrastructure) จะต้องเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมด เนื่องจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมทางเทคโนโลยีครั้งที่ 4 (Fourth Industrial Technology) ทำให้ทิศทางของโลกชัดเจนมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงการปฏิวัติดิจิทัลสีเขียว (Digital Green Revolutions) จะถูกพัฒนาบนโครงสร้างพื้นฐานของเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่จะมาเพิ่มขีดความสามารถ และปัญญาประดิษฐ์ (AI : Artificial Intelligence) จะกลายมาเป็นตัวแปลที่สำคัญในยุคเปลี่ยนผ่านและเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่ควรมองข้าม
แม้กระทั่ง Professor Klaus Schwab ผู้ก่อตั้ง World Economic Forum ยังกล่าวว่า ธีมหลักของการจัดงาน World Economic Forum ในปี 2567 มุ่งเน้นไปในประเด็นของ AI เนื่องจาก AI จะเป็นเทคโนโลยีสำคัญที่จะมาเปลี่ยนแปลงโลก พร้อมทั้งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในการทำงาน ยิ่งไปกว่านั้น AI จะเข้ามามีบทบาทในการเข้าถึงชุดทักษะเชิงวิชาชีพ (Technical Skills) ในอนาคตอีก 5 ปีข้างหน้า 44% ของทักษะความสามารถ (Skill Sets) ของคนทั้งหมด จะไม่สามารถใช้ได้ ซึ่งในอีก 10 ปีข้างหน้า ประชากรทั้งโลกมีแนวโน้มที่จะจำเป็นต้องกลับไปเรียนเพื่อยกระดับชุดความรู้ใหม่ ๆ (Reskill & Upskill) ในทางกลับกัน ชุดทักษะที่จำเป็นในโลกอนาคต คือ ทักษะทางสังคม (Soft Skills) อาทิ ทักษะในการพูดในที่สาธารณะ ทักษะในการสร้างและรักษาความสัมพันธ์ ทักษะการทำงานกันเป็นทีม เป็นต้น เนื่องจาก AI นั้นสามารถที่จะลอกเลียนแบบหรือทำซ้ำการทำงานเชิงเทคนิคได้ แต่ไม่สามารถที่จะลอกเลียนแบบการทำงานเชิงมนุษย์ได้ ดังนั้นการเข้ามาของ AI จะส่งผลให้ สินทรัพย์ต่าง ๆ ที่ถูกสร้างขึ้นมาจากฐานข้อมูลทางดิจิทัลที่สำรองเอาไว้มีความเสี่ยงที่จะถูกลดมูลค่าลง และทำให้เกิดการเปลี่ยนถ่ายทางมูลค่าไปยังสินทรัพย์ที่ AI ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ อาทิ บิทคอยน์ (Bitcoin) หรือ สินทรัพย์ทางพลังงาน (Energy Assets) เป็นต้น
นอกจากนี้ AI จะเข้ามามีบทบาทอย่างมีนัยยะสำคัญในโลกออนไลน์มากยิ่งขึ้นผ่านการผนวกความสามารถกับ Web 3.0 โดยมี แอปพลิเคชันที่ครอบคลุมทุกการบริการ (Super App) เป็นตัวกลางในการคัดกรองและแสดงข้อมูล ซึ่งลูกค้าสามารถที่จะออกแบบความต้องการได้เอง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการปฏิวัติอุตสาหกรรมทางเทคโนโลยีครั้งที่ 4 เท่านั้น
การเปิดตัว Bitkub AI ในวันนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับการทำ Conversational AI ที่สร้างบน ThaiGPT อีกทั้งยังเป็นการขยายและส่งเสริมเครือข่ายการพัฒนาทางเทคโนโลยีใหม่ให้กับประเทศ พร้อมทั้งผลักดันประเทศไทยให้กลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจดิจิทัลของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย"
ทั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก นางสาวเนาวรัตน์ ธรรมสวยดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ เวนเจอร์ จำกัด กล่าวแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับการร่วมลงทุนระหว่าง บริษัท บิทคับ เวนเจอร์ จำกัด และ บริษัท ไทย จีพีที จำกัด ในครั้งนี้
นางสาวเนาวรัตน์ ธรรมสวยดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ เวนเจอร์ จำกัด กล่าวว่า "บริษัท บิทคับ เวนเจอร์ จำกัด มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมลงทุนกับ ThaiGPT ในครั้งนี้ วิสัยทัศน์และเหตุผลสำคัญที่ทำให้ บิทคับ เวนเจอร์ ตัดสินใจร่วมลงทุนในครั้งนี้ คือ ปัญญาประดิษฐ์ (AI : Artificial Intelligence) เป็นสิ่งที่ บิทคับ เวนเจอร์ ให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะเชื่อว่า AI จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงโลก เปลี่ยนแปลงวิธีการทำงาน และช่วยลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้ดียิ่งขึ้น เพิ่มความสามารถในการแข่งขันหลาย ๆ อย่าง จึงเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์อย่างยิ่งในโลกอนาคต ทั้งนี้ AI ยังมีตลาดขนาดใหญ่ มีองค์กรที่ต้องการใช้บริการอีกจำนวนมาก
อีกประการหนึ่งที่ทำให้ บิทคับ เวนเจอร์ ตัดสินใจลงทุนในครั้งนี้ คือผู้ก่อตั้ง ThaiGPT ทั้ง 2 ท่าน ได้แก่ นายแพทย์ ภาณุทัต เตชะเสน มีความเชี่ยวชาญทางโปรแกรมเมอร์ โดยเฉพาะด้านภาษา AI และ คุณโดม เจริญยศ มีความเชี่ยวชาญทางโปรแกรมเมอร์ โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งสิ่งที่ ThaiGPT ได้ทำไปแล้ว คือ การพัฒนาภาษาไทยใน AI ซึ่งเรามองว่าเราสามารถที่จะเป็นผู้นำในด้านนี้อีกด้วย จึงเป็นโอกาสที่ดีที่ บิทคับ เวนเจอร์ จะได้ร่วมงานกับผู้ก่อตั้งที่มีความเชี่ยวชาญในวงการนี้มาอย่างยาวนาน ในขณะเดียวกันผลิตภัณฑ์ของ ThaiGPT ที่ให้บริการแก่ลูกค้า ไม่ได้เป็นการทำโครงสร้างพื้นฐาน (Infastructure) แต่จะเป็นการทำวิจัยและพัฒนา (Research and Development) ทางด้านข้อมูลเพื่อให้ลูกค้าในองค์กรต่าง ๆ สามารถนำไปใช้ต่อได้ นี่คือสิ่งที่เรามองว่าจะมาขับเคลื่อนธุรกิจในประเทศไทยให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน
ประการสุดท้ายที่เราตัดสินใจร่วมลงทุน คือ บิทคับ เวนเจอร์ เป็นบริษัทร่วมทุน (Corporate Venture Capital) ใน 2 ปีที่ผ่านมา บิทคับ เวนเจอร์ ลงทุนมาแล้วประมาณ 10 โครงการ โดยเน้นไปที่การเพิ่มกรณีศึกษาให้กับ บริษัท บิทคับ บล็อกเชน เทคโนโลยี จำกัด แต่การลงทุนใน ThaiGPT ในครั้งนี้ เรามองถึงภาพรวมที่จะเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มบริษัทบิทคับทั้งหมด โดยโครงการนำร่องที่เราจะนำมาใช้ จะเกี่ยวข้องกับการให้บริการแก่ลูกค้าของ บิทคับ เอ็กซ์เชนจ์ เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น ซึ่งจึงเป็นปัจจัยที่สำคัญในการลงทุนครั้งนี้
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการร่วมมือกันในครั้งนี้ จะเป็นส่วนสำคัญที่นำเอา AI เข้ามาช่วยผู้ประกอบการในการขับเคลื่อนธุรกิจ เพื่อให้มีความสามารถในการแข่งขันระยะยาว เพื่อร่วมมือกันในการพัฒนาประเทศไทยของเราให้เป็นหนึ่งในผู้นำทางด้านธุรกิจใน ด้านต่าง ๆ ของอาเซียน พร้อมทั้งมีศักยภาพที่สามารถแข่งขันในระดับโลกได้อีกด้วย"
ที่มา: บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์