บางจากฯ และพันธมิตร ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือพัฒนาโครงการคาร์บอนเครดิตจากภาคการเกษตรและพลังงานหมุนเวียน

พุธ ๒๓ สิงหาคม ๒๐๒๓ ๑๕:๑๖
ต่อยอดสู่ "พรรณ D" คาร์บอนเครดิตจากพืชเกษตรยืนต้นและการติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ร่วมกับเครือข่ายสหกรณ์การเกษตร

นายสมชัย เตชะวณิช ประธานเจ้าหน้าที่การตลาด กลุ่มธุรกิจการตลาด บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ นายประเสริฐ ตรงเจริญเกียรติ ประธานสายปฏิบัติการ/ธุรกิจเพื่อสังคม มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ และ นายชาญวิทย์ ตรังอดิศัยกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการลงทุน บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลง "การพัฒนาโครงการด้านคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ การเกษตรและพลังงานหมุนเวียนกับกลุ่มสหกรณ์และเกษตรกรในเครือข่ายธุรกิจบางจากฯ และพันธมิตร" เพื่อสนับสนุนความร่วมมือ ประชาสัมพันธ์ ส่งเสริม แลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้ เทคโนโลยี บุคลากร กระบวนการจัดการในโครงการด้านคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ การเกษตรและพลังงานหมุนเวียนกับกลุ่มสหกรณ์และเกษตรกรในเครือข่ายธุรกิจบางจากฯ และพันธมิตร ให้สอดคล้องกับโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) ผ่านกิจกรรมในแปลงพืชเกษตรยืนต้น ได้แก่ ยางพารา ปาล์มน้ำมัน ไม้ผล เป็นต้น และการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพื่อใช้เองเพื่อลดต้นทุนทางการผลิต สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด สร้างมูลค่าเพิ่มและคุณค่าร่วมจากกระบวนการคาร์บอนเครดิตที่เกิดขึ้น

นายสมชัย เตชะวณิช ประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บริษัท บางจากฯ กล่าวว่า "กลุ่มบริษัทบางจากให้ความสำคัญกับการสร้างสมดุลระหว่างความท้าทายด้านพลังงาน 3 ประการ (Balancing the Energy Trilemma) คือ ความมั่นคงด้านพลังงาน (Energy Security) การเข้าถึงพลังงาน (Energy Affordability) ความยั่งยืนของทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม (Environmental Sustainability) วันนี้เป็นโอกาสดีที่เราจะร่วมมือกันเพื่อสนับสนุนให้ผู้มีส่วนได้เสียทางธุรกิจที่สำคัญกลุ่มหนึ่งของบางจากฯ คือเครือข่ายสหกรณ์การเกษตร มีโอกาสเข้าถึงพลังงานสะอาดและมีส่วนร่วมสร้างความยั่งยืนของทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม

ปัจจุบัน บางจากฯ มีสถานีบริการน้ำมันกว่า 1,360 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งกว่า 600 แห่งเป็นสถานีบริการน้ำมันชุมชนหรือปั๊มชุมชน ดำเนินการโดยเครือข่ายสหกรณ์การเกษตร ครอบคลุมกว่า 1 ล้านครัวเรือน ถือเป็นผู้มีส่วนได้เสียทางธุรกิจที่บางจากฯ ให้ความสำคัญในการดูแลและทำงานร่วมกันมาตลอดเวลากว่า 33 ปี ที่จัดตั้งปั๊มชุมชนขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2533 เป็นที่น่ายินดีที่ได้รับทราบว่า ผู้นำสหกรณ์การเกษตรมีแนวโน้มต้องการมีส่วนร่วมในการป้องกันภาวะโลกร้อน สนใจจะใช้พลังงานหมุนเวียนรวมถึงต้องการมีส่วนร่วมในโครงการด้านคาร์บอนเครดิตจากภาคการเกษตร สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์และแผนด้านความยั่งยืนของกลุ่มบริษัทบางจาก จึงเป็นที่มาของการลงนามความร่วมมือนี้ และขอขอบคุณพันธมิตรทุกองค์กรที่มาร่วมกันผลักดันประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำในวันนี้"

นางกลอยตา ณ ถลาง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานสื่อสารองค์กรและกิจการเพื่อความยั่งยืน บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ริเริ่มและรับผิดชอบโครงการ ได้กล่าวถึงความเป็นมาของความร่วมมือดังกล่าวว่า "ความร่วมมือครั้งนี้ เกิดจากการที่ทุกภาคส่วนกำลังให้ความสำคัญกับการร่วมป้องกันภาวะโลกร้อนที่กำลังเป็นประเด็นสำคัญในระดับโลก สำหรับกลุ่มบริษัทบางจาก ได้กำหนดแผนงาน BCP316NET เพื่อตอบสนองต่อเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี ค.ศ. 2030 (พ.ศ. 2573) และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emissions) ในปี ค.ศ. 2050 (พ.ศ. 2593) ครอบคลุม 4 แนวทาง คือ B = Breakthrough Performance (ด้วยสัดส่วน 30%) เน้นกระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูง การปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการทำงาน ปล่อยคาร์บอนต่ำและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม C = Conserving Nature and Society (10%) สนับสนุนการสร้างสมดุลทางระบบนิเวศและเชื่อมโยงสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ผ่านการดูดซับคาร์บอนด้วยวิถีธรรมชาติ P = Proactive Business Growth and Transition (60%) เปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่พลังงานสะอาด ด้วยเทคโนโลยีเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจสีเขียว เน้นขยายการลงทุนใหม่ ๆ ที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินธุรกิจ และ NET Zero Ecosystem การสร้างระบบนิเวศเพื่อรองรับการไปสู่เป้าหมาย Net Zero

ความร่วมมือนี้เกิดขึ้นจากแนวคิดเรื่องคาร์บอนเครดิตในภาคการเกษตรและจากพลังงานหมุนเวียน จากการที่สหกรณ์การเกษตรผู้ดำเนินธุรกิจสถานีบริการน้ำมันชุมชนของบางจากฯ ส่วนหนึ่งประกอบธุรกิจพืชเกษตรยืนต้น โดยมีการดูแลเป็นอย่างดีและมีแผนปรับปรุงการใช้ปุ๋ย รวมถึงผู้ประกอบการสหกรณ์การเกษตรจำนวนมาก ต้องการปรับเปลี่ยนมาผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพื่อใช้เองเพื่อลดต้นทุนทางการผลิตและสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด บางจากฯ จึงเห็นเป็นโอกาสดีที่จะสนับสนุนสหกรณ์การเกษตร รวมถึงกลุ่มเกษตรกรที่สนใจเข้าร่วมโครงการฯ โดยจะให้ความรู้เกี่ยวกับโลกร้อน การร่วมดำเนินโครงการคาร์บอนเครดิตจากพืชเกษตรยืนต้นกับบางจากฯ หรือติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ โดยจะทำหน้าที่เป็นผู้ร่วมพัฒนาโครงการและผู้ประสานงานหลัก สื่อสารประชาสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมาย สร้างความรู้ความเข้าใจ และร่วมสำรวจพื้นที่ ติดตามการดำเนินงานกับทีมงานจากมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ และบริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) ด้วยความสนับสนุนจากกรมส่งเสริมสหกรณ์ เพื่อร่วมผลักดันโครงการให้ผ่านการขึ้นทะเบียนและการรับรองคาร์บอนเครดิตจากโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) โดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) อันเป็นการส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก"

นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวว่า "ปัจจุบันนานาประเทศให้ความสำคัญต่อการสร้างความสมดุลด้านสิ่งแวดล้อม คาร์บอนเครดิตเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกและลดปัญหาโลกร้อน โดยนอกจากป่าไม้หรือพืชเกษตรยืนต้นจะช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์แล้ว ยังมีคาร์บอนเครดิตที่มีมูลค่าสามารถสร้างรายได้ สำหรับประเทศไทย ภาครัฐและเอกชนให้ความสำคัญเรื่องคาร์บอนเครดิตมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับกระแสการลดก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้โลกต้องเผชิญกับสถานการณ์ภาวะโลกร้อน และเป็นหนทางที่จะนำพาธุรกิจสู่ความยั่งยืน กรมส่งเสริมสหกรณ์จึงรู้สึกยินดีที่จะได้ร่วมสนับสนุน ส่งเสริมการดำเนินโครงการในระดับพื้นที่ รวมถึงร่วมประชาสัมพันธ์ สนับสนุนข้อมูล ความรู้และบุคลากร ฯลฯ นอกจากนี้ จะศึกษาโอกาสที่จะขยายผลสู่สหกรณ์อื่น ๆ ในอนาคต เนื่องจากความร่วมมือครั้งนี้นอกจากจะช่วยยกระดับมาตรฐานการผลิตคาร์บอนต่ำผ่านกลไกคาร์บอนเครดิตในภาคการเกษตรแล้ว ยังเป็นการตอบสนองต่อนโยบาย BCG Economy เป็นอย่างดีอีกด้วย"

นายประเสริฐ ตรงเจริญเกียรติ ประธานสายปฏิบัติการ/ธุรกิจเพื่อสังคม มูลนิธิ แม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า "มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้ริเริ่มโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน จากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านการสำรวจแปลงป่าเพื่อประเมินการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ การให้ความรู้และสร้างทักษะ พร้อมทั้งถ่ายทอดกระบวนการทำงาน และเป็นที่ปรึกษาแก่ชุมชนที่ต้องการ เพื่อให้ชุมชนมีฐานข้อมูลปริมาณการกักเก็บคาร์บอนฯ อย่างเป็นระบบ พร้อมสำหรับการขึ้นทะเบียนปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลด/กักเก็บได้ ภายใต้ตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจของประเทศไทยผ่านหน่วยงานภาครัฐ โดยภาคเอกชนเป็นผู้สนับสนุนงบประมาณ และได้รับคาร์บอนเครดิต เพื่อนำไปลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของตน ในขณะที่ชุมชนเกิดรายได้เสริมจากการดูแลป่า ซึ่งจะอยู่ในรูปแบบกองทุนดูแลป่าชุมชนและกองทุนพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน สามารถใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและดูแลรักษาป่าต่อไป ซึ่งบางจากฯ ก็เป็นหนึ่งในพันธมิตรร่วมโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนนี้ ตั้งแต่ระยะพัฒนาระบบ (พ.ศ. 2563-2565) และระยะขยายผลหลังปี พ.ศ. 2566 ในวันนี้มูลนิธิฯ จึงมีความยินดีที่ได้มีส่วนร่วมในความร่วมมือกับบางจากฯ ในอีกหนึ่งบทบาท เพื่อร่วมให้คำปรึกษาในการพัฒนาโครงการคาร์บอนเครดิต โดยจะร่วมลงพื้นที่ สำรวจและกำหนดขอบเขตโครงการ รวมถึงติดตามงานเพื่อพัฒนาเอกสารข้อเสนอโครงการ (Project Design Document: PDD) เพื่อขึ้นทะเบียนและรับรองเครดิตสนับสนุน ผลักดันการดำเนินโครงการฯ ให้ผ่านการขึ้นทะเบียนและการรับรองคาร์บอนเครดิตจากโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ"

นายชาญวิทย์ ตรังอดิศัยกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการลงทุน บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงบทบาทของบริษัท บีซีพีจีฯ ในความร่วมมือครั้งนี้ว่า "บีซีพีจี เป็นบริษัท ผู้ประกอบธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนระดับแนวหน้าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก นอกจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าด้วยเทคโนโลยีพลังงานสะอาดชนิดต่าง ๆ แล้ว บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการนำนวัตกรรมมาพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อตอบสนองต่อความต้องการการใช้พลังงานของผู้บริโภคและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน สำหรับความร่วมมือนี้ นอกจากบีซีพีจีจะร่วมบริหารจัดการการติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ให้กับสหกรณ์การเกษตรที่สนใจแล้ว ยังจะร่วมสนับสนุนสหกรณ์การเกษตรหรือกลุ่มเกษตรกรในด้านความรู้เกี่ยวกับคาร์บอนเครดิต แนวปฏิบัติคาร์บอนต่ำ
การรักษาผลผลิตและระบบบริหารข้อมูลดิจิทัลที่สอดคล้องกับการจัดการกิจกรรมในแปลงอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนโอกาสที่จะซื้อขายคาร์บอนเครดิตผ่านแพลตฟอร์มของบริษัทฯ โดยจะจัดการฝึกอบรม แบ่งปันข้อมูลความรู้ การติดตาม การตรวจทานที่จำเป็นต่อการพัฒนาโครงการฯ ตามความเหมาะสม"

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากการลงนามความร่วมมือในวันนี้ บางจากฯ และพันธมิตรจะจัดทำโครงการ "พรรณ D" คาร์บอนเครดิตจากพืชเกษตรยืนต้น เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ และติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับใช้ในภาคธุรกิจผ่านออมสุขวิสาหกิจเพื่อสังคม ร่วมกับเครือข่ายสหกรณ์การเกษตรที่สนใจจะร่วมโครงการ โดยได้นำร่องสำรวจความต้องการของสหกรณ์การเกษตรมาระยะหนึ่งแล้ว พร้อมเริ่มโครงการทั้งสอง ในเดือนกันยายนนี้เป็นต้นไป

ที่มา: บางจาก คอร์ปอเรชั่น

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๖:๕๐ รีเลชั่นชิพรีพับบลิค แนะกลยุทธ์สำคัญ นำพาธุรกิจร้านอาหารสู่ความสำเร็จ มัดใจลูกค้าให้อยู่หมัด
๑๖:๑๔ ชมนวัตกรรมสุดล้ำในงาน METALEX 2024 หลายแบรนด์แกะกล่องเครื่องจักรครั้งแรกในงานนี้
๑๖:๑๓ Bangkok Illustration Fair 2024 สู่การเติบโตก้าวใหญ่ในปีที่ 4
๑๖:๑๐ ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลโดย IMD ประจำปี 2567 TMA เผยไทยครองอันดับ 37 ในการจัดอันดับด้านดิจิทัลปีนี้
๑๖:๕๒ โก โฮลเซลล์ จัดเต็มสินค้า ส่งสุข สุดอร่อย เฉลิมฉลองเทศกาลส่งท้ายปี เข้มกระเช้าปีใหม่ดีมีมาตรฐาน พร้อมชู อาหารแช่แข็ง-อาหารสด
๒๒ พ.ย. กทม. จับมือสถานทูตเนเธอร์แลนด์ ประจำประเทศไทย จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ ACTIVE Workshop เมืองเดินเท้า และจักรยานสัญจร ครั้งที่
๒๒ พ.ย. สัมผัสความหรูหราของวิลล่าริมทะเล VEYLA NATAI RESIDENCES ผ่านประสบการณ์เหนือระดับในงาน SOUL of VEYLA
๒๒ พ.ย. 'แอสเซทไวส์' จับมือ 'สยามกีฬา' เปิดศึกลูกหนังยุวชนทัวร์นาเมนต์ใหญ่แห่งปี AssetWise Siamkeela Cup 2024-25 ต่อเนื่องเป็นปีที่
๒๒ พ.ย. โรงแรมเรเนซองส์ เปิดตัว R FINDS แพลตฟอร์มดิจิทัลระดับโลก ที่จะเชื่อมมนต์เสน่ห์ชุมชนท้องถิ่นสู่นักเดินทางทั่วโลก
๒๒ พ.ย. electric.neon.lamp หยิบเพลงฮิต แม้ ใส่ฟีลดนตรีเหงาปนเศร้าในแบบ Piano Version