ส.อ.ท. กังวลดอกเบี้ยขาขึ้น กระทบต้นทุนการเงิน กำลังซื้อหด เบรคการลงทุนใหม่

พฤหัส ๓๑ สิงหาคม ๒๐๒๓ ๑๑:๒๔
นายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 32 ในเดือนสิงหาคม 2566 ภายใต้หัวข้อ "อัตราดอกเบี้ยขาขึ้น กระทบอุตสาหกรรมแค่ไหน" ผู้บริหาร ส.อ.ท. มองว่า สืบเนื่องจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2566 มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 2.00% เป็น 2.25% สูงสุดในรอบ 9 ปี ซึ่งส่งผลทำให้ต้นทุนทางการเงินปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่ จึงค่อนข้างมีความกังวลมากกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว ประกอบกับนักวิเคราะห์หลายสำนักมองว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed มีโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ อีก 1 ครั้ง ในช่วงปลายปีนี้ และอาจกดดันให้ ธปท. ต้องมีการพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอีกครั้งเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงิน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมในเรื่องกำลังซื้อของประชาชนที่ชะลอตัว เนื่องจากภาระอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และหนี้สินครัวเรือนที่ปรับตัวสูงขึ้นทำให้ประชาชนเริ่มระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ภาคธุรกิจเกิดแรงกดดันที่อาจส่งผลทำให้การปรับราคาสินค้าเพิ่มตามต้นทุนจริงทำได้ยากขึ้น ตลอดจนต้องชะลอการลงทุนใหม่ออกไป

ดังนั้น ผู้บริหาร ส.อ.ท. จึงเสนอขอให้รัฐบาลพิจารณามาตรการบรรเทาผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น เช่น ขอให้ธนาคารรัฐสนับสนุนมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้กับผู้ประกอบการ SMEs เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการ มีการกำกับดูแลส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินฝากกับเงินกู้ (Spread) ให้ส่วนต่างลดลง รวมทั้งปรับเงื่อนไขการขอสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์เพื่อลดภาระและช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายยิ่งขึ้น และขอให้ ธปท. พิจารณาชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายออกไปก่อนในช่วงนี้

ด้านมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ระดับสูงและกดดันเศรษฐกิจไทยอยู่ในขณะนี้ ผู้บริหาร ส.อ.ท. เสนอให้รัฐบาลยกระดับปัญหาหนี้ครัวเรือนเป็นวาระเร่งด่วนที่จะต้องแก้ไขปัญหาทั้งระบบ ตั้งแต่การเข้ามาดูแลค่าครองชีพของประชาชน เช่น ค่าเดินทาง ค่าไฟฟ้า น้ำประปา ฯลฯ เพื่อลดภาระให้ประชาชนมีเงินเหลือใช้มากขึ้น การส่งเสริมให้เกิดการจ้างงาน สร้างอาชีพใหม่ๆ และเปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุมีรายได้จากการทำงาน การออกมาตรการสร้างแรงจูงใจเชิงบวก (Incentives) ให้กับลูกหนี้ชั้นดี และส่งเสริมให้ประชาชนใช้มาตรการช่วยเหลือในการปรับโครงสร้างหนี้ ทั้งในส่วนของหนี้สถาบันการเงิน และหนี้นอกระบบ ซึ่งจะต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงการจัดสรรงบประมาณจากภาครัฐในการนำมาช่วยแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างครบวงจรต่อไป

จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 216 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด มีสรุปผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 32 จำนวน 6 คำถาม ดังนี้

1. กรณี ธปท. ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% เป็น 2.25% ต่อปี ท่านมีความกังวลมากน้อยอย่างไร?
อันดับที่ 1 : มาก 60.2%
อันดับที่ 2 : ปานกลาง 33.3%
อันดับที่ 3 : น้อย 6.5%

2. ภาคอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบจากการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในเรื่องใด (Multiple choices)
อันดับที่ 1 : กำลังซื้อสินค้าของประชาชนลดลงจากภาระอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 64.8% และหนี้สินครัวเรือนที่ปรับตัวสูงขึ้น
อันดับที่ 2 : ทำให้เกิดแรงกดดันที่อาจทำให้การปรับราคาสินค้าเพิ่มตามต้นทุนจริง 62.0% ทำได้ยากขึ้น และส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
อันดับที่ 3 : ชะลอการลงทุนใหม่ และมีการปรับลดกำลังการผลิตลงจากต้นทุนทางการเงิน 56.5% ที่เพิ่มขึ้น
อันดับที่ 4 : สถาบันการเงินมีความเข้มงวดมากขึ้นในการปล่อยสินเชื่อให้กับภาคธุรกิจ 46.8%

3. ภาคอุตสาหกรรมมีแนวทางในการรับมืออัตราดอกเบี้ยขาขึ้นอย่างไร (Multiple choices)
อันดับที่ 1 : ลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ 70.4%
อันดับที่ 2 : ชะลอการลงทุน ปรับการบริหารกระแสเงินสดใหม่เพื่อเพิ่มเงินทุนหมุนเวียน 67.1%
อันดับที่ 3 : ปรับโครงสร้างหนี้ให้อยู่ในระดับที่สอดคล้องกับความสามารถ 42.6% ในการดำเนินธุรกิจ
อันดับที่ 4 : หาแหล่งเงินทุนใหม่นอกเหนือจากการกู้เงินผ่านสถาบันการเงิน 31.5% เช่น การระดมทุน

4. ภาครัฐควรมีมาตรการ/นโยบาย เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการจากภาวะอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นอย่างไร (Multiple choices)
อันดับที่ 1 : ธนาคารรัฐสนับสนุนมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้กับผู้ประกอบการ SMEs 68.5%
อันดับที่ 2 : กำกับดูแลส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินฝากกับเงินกู้ (Spread) ให้ส่วนต่างลดลง 67.1% รวมทั้งปรับเงื่อนไขการขอสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ เพื่อลดภาระและช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น
อันดับที่ 3 : ธปท. ชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 58.8%
อันดับที่ 4 : ขยายระยะเวลามาตรการปรับโครงสร้างหนี้ (ฟ้า-ส้ม) ออกไปอีก 2 ปี 36.1%

5. ภาครัฐควรมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ระดับสูงอย่างไร (Multiple choices)
อันดับที่ 1 : มาตรการดูแลค่าครองชีพของประชาชน เช่น ค่าเดินทาง ค่าไฟฟ้า 67.6% น้ำประปา เป็นต้น
อันดับที่ 2 : ส่งเสริมให้เกิดการจ้างงาน สร้างอาชีพใหม่ๆ และเปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุ 61.6% มีรายได้จากการทำงาน
อันดับที่ 3 : มาตรการสร้างแรงจูงใจเชิงบวก (Incentives) ให้กับลูกหนี้ชั้นดี 60.2% เช่น ลดอัตราดอกเบี้ย การให้สิทธิประโยชน์เพิ่ม เป็นต้น
อันดับที่ 4 : ส่งเสริมให้ประชาชนใช้มาตรการช่วยเหลือในการปรับโครงสร้างหนี้ 58.3% ทั้งในส่วนของหนี้สถาบันการเงิน และหนี้นอกระบบ

6. คาดการณ์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ภายในสิ้นปี 2566 จะอยู่ที่ระดับใด
อันดับที่ 1 : 2.25% ต่อปี 37.5%
อันดับที่ 2 : 2.50% ต่อปี 32.4%
อันดับที่ 3 : 2.00% ต่อปี 30.1%

ที่มา: สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๗:๒๑ 60 ปีแห่งความมุ่งมั่น! คาโอ คว้ารางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น 2 ประเภทในปี 2567 ชูความสำเร็จด้านสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคม
๑๗:๒๓ AVATR ก้าวสู่ความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่! ระดมทุนในรอบ Series C ได้มากกว่า 11,000 ล้านหยวน พร้อมก้าวสู่ความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าหรูหราแห่งอนาคต
๑๗:๐๖ Zoom เปิด 10 เทรนด์ ใช้ AI ในการทำงานปี 2568
๑๗:๑๐ เปิดมุมมองอาชีพที่หลากหลายในอุตสาหกรรมกาแฟไทย เจาะลึกบทบาทและแนวทางยกระดับสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
๑๗:๑๔ อนาคตแห่งการเดินทาง: 5 คนขับ AI จากแอปเรียกรถ Maxim
๑๗:๕๕ Well-Being House บ้านชั้นเดียวเอาใจคนวัยเกษียณ
๑๗:๑๖ กทม. แจงเปิดกว้างการแข่งขันโครงการเช่าคอมพิวเตอร์พกพาสำหรับนักเรียน
๑๖:๓๗ รายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับล่าสุด เผยผู้เริ่มให้บริการ 5G กลุ่มแรกกำลังมุ่งสู่โมเดลธุรกิจที่เน้นประสิทธิภาพ
๑๗:๒๕ เมดีซ กรุ๊ป ร่วมสมทบทุนสนับสนุนมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ช่วยผู้ป่วยในชนบท ถิ่นทุรกันดารที่ห่างไกล
๑๖:๔๔ CNN จับตา นวัตกรรมล่าสุดจากนักวิจัยไทย พลิกโฉมการตรวจคัดกรองความเครียดด้วย เหงื่อ