ฟิทช์คงอันดับเครดิต บมจ. อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป ที่ 'A-(tha)' แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ

พฤหัส ๓๑ สิงหาคม ๒๐๒๓ ๑๔:๐๙
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-Term Rating) และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ไม่มีประกันและไม่ด้อยสิทธิของบริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG ที่ 'A-(tha)' แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ

การประกาศคงอันดับเครดิตของบริษัทฯ สะท้อนถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ถึงแม้ว่าอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย(EBITDA Net Leverage) ของ EPG ได้ปรับตัวสูงขึ้นชั่วคราว ภายหลังการเข้าซื้อกิจการ 4 Way Suspension Products Pty. Ltd. (4WS) ในประเทศออสเตรเลีย เมื่อเดือนกรกฎาคม 2565 ฟิทช์ประมาณการว่าอัตราส่วนหนี้สินของบริษัทฯ จะยังคงอยู่ในระดับต่ำในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ถึงแม้ว่ากำไรในปีงบการเงิน 2566 (สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2566) จะอ่อนแอลงชั่วคราวก็ตาม ทั้งนี้อันดับเครดิตของบริษัทฯ ได้ถูกจำกัดจากขนาดธุรกิจที่มีขนาดเล็ก เมื่อเทียบกับบริษัทอื่นที่มีอันดับเครดิตที่สูงกว่า

ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต
อัตราส่วนหนี้สินจะปรับตัวดีขึ้น: EBITDA Net Leverage ของ EPG มีแนวโน้มที่จะปรับตัวดีขึ้นและจะลดลงต่ำกว่า 1.0 เท่าในปีงบการเงิน 2568-2571 จากระดับ 1.3 เท่าในปีงบการเงิน 2566 บริษัทฯ ไม่มีแผนการลงทุนขนาดใหญ่ในช่วง 3 ปีข้างหน้า เนื่องจากกำลังการผลิตปัจจุบันยังสามารถรองรับการเติบโตของบริษัทฯ ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าได้ ฟิทช์ไม่คาดว่าบริษัทฯจะทำการซื้อกิจการที่มีขนาดใหญ่ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า เนื่องจากฟิทช์เชื่อว่า EPG จะให้ความสำคัญในการสร้างมูลค่าจากการเข้าซื้อกิจการ 4WS ผ่านการส่งเสริมและรับประโยชน์ร่วมกัน (synergies) กับธุรกิจเดิมของบริษัทฯ ดังนั้นฟิทช์คาดว่าบริษัทฯ จะมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานหลังจากหักค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนและเงินปันผล (Free cash flow) ที่เป็นบวกในช่วงปีงบการเงิน 2567-2571

ยอดขายจะเติบโต: ฟิทช์คาดว่ารายได้ของ EPG จะเติบโตอย่างต่อเนื่องในระดับประมาณร้อยละ 4-5 ต่อปี ในช่วง 3-4 ปีข้างหน้า (ปีงบการเงิน 2566 เติบโตร้อยละ 3) เนื่องจากการรวมงบการเงินแบบเต็มปีงบการเงินของ 4WS ยอดขายในธุรกิจผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ และผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์พลาสติกมีการเติบโตที่ช้าลงชั่วคราวในช่วงไตรมาแรกของปีงบการเงิน 2567 เนื่องจากความล่าช้าในการส่งมอบยานยนต์เข้าสู่ตลาดในประเทศออสเตรเลีย และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่แย่ลง จากความกังวลเกี่ยวกับสภาวะการถดถอยทางเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ และความต้องการบรรจุภัณฑ์อาหารพลาสติกฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดหลังจากสถาณการณ์โรคระบาด

อย่างไรก็ตามฟิทช์เชื่อว่ายอดขายจะฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลังของปีงบการเงิน 2567 เป็นต้นไป เนื่องจากสถานการณ์การขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ (ชิป) มีแนวโน้มคลี่คลายลง การวางจำหน่ายรถยนต์กะบะรุ่นใหม่ของผู้ผลิตรถยนต์รายหลัก และความต้องการผลิตภัณฑ์ฉนวนยางกันความร้อน/เย็นจากลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรม โดยเฉพาะจากลูกค้าที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับเซมิคอนดักเตอร์ และยานยนต์ไฟฟ้า จะช่วยสนับสนุนให้ยอดขายเติบโต

การทำกำไรจะฟื้นตัว: ฟิทช์คาดว่ากำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ (EBITDA margin) ของบริษัทฯจะค่อยๆ ปรับเพิ่มขึ้นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า เนื่องจากแนวโน้มราคาวัตถุดิบที่คาดว่าจะปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันดิบที่ลดลง การประหยัดต่อขนาด (economies of scale) ตามปริมาณการขายที่สูงขึ้น รวมถึงการเพิ่มขึ้นของการใช้กำลังการผลิตของ EPG ในประเทศสหรัฐฯ และสมมุติฐานของฟิทช์ว่าบริษัทฯจะได้รับประโยชน์จากการส่งเสริมและรับประโยชน์ร่วมกันกับกิจการของ 4WS ฟิทช์คาดว่า EBITDA margin ของบริษัทฯ จะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับประมาณร้อยละ 14 ในปีงบการเงิน 2567 (ปีงบการเงิน 2566: ร้อยละ 15 ปีงบการเงิน 2563-2565: ร้อยละ 16-18) เนื่องจากต้นทุนในการดำเนินงานที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะจากค่าในการผลิตที่สูงขึ้น โดยเฉพาะโรงงานในประเทศสหรัฐฯ และ โรงงาน 4WS ในประเทศออสเตรเลีย

ความหลากหลายในผลิตภัณฑ์และธุรกิจปลายทาง: EPG มีผลิตภัณฑ์ที่กระจายตัวไปในหลายธุรกิจ ซึ่งได้แก่ผลิตภัณฑ์ฉนวนยางกันความร้อน/เย็น ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ตกแต่งสำหรับรถยนต์ และผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์พลาสติก ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในแต่ละอุตสาหกรรม เช่น ความผันผวนตามวัฏจักรของธุรกิจรถยนต์และธุรกิจก่อสร้าง และอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดที่ต่ำและการแข่งขันที่ค่อนข้างสูงของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์พลาสติกสำหรับอาหารและเครื่องดื่ม โดยธุรกิจของ EPG ได้ส่งเสริมและรับประโยชน์ร่วมกัน จากการจัดหาวัตถุดิบ และการวิจัยและการพัฒนา การลงทุนของ EPG ใน 4WS จะช่วยขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนรถยนต์ จากปัจจุบันที่ผลิตผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนรถยนต์จากโพลีเมอร์

ฐานลูกค้าที่กระจายตัวตามภูมิภาคต่างๆ: EPG ขายชิ้นส่วนและอุปกรณ์ตกแต่งสำหรับรถกระบะและรถเอนกประสงค์ ประมาณร้อยละ 50-60 ให้กับผู้รับจ้างที่ออกแบบและผลิตสินค้า (Original Design Manufacturer) และผู้รับจ้างผลิตสินค้า (Original Equipment Manufacturer) ให้กับบริษัทผลิตรถยนต์ชั้นนำของโลก ในส่วนที่เหลือขายให้กับตัวแทนจำหน่ายรถยนต์และร้านจำหน่ายสินค้าตกแต่งรถในประเทศและต่างประเทศ กว่า 100 ประเทศทั่วโลกภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัทฯเอง สำหรับธุรกิจฉนวนยางกันความร้อน/เย็น รายได้ประมาณร้อยละ 25 มาจากยอดขายในประเทศ ซึ่งครึ่งหนึ่งเป็นการขายให้กับโครงการก่อสร้าง โดยมีโรงงานผลิตฉนวนยางกันความร้อน/เย็นหลัก ในประเทศไทย และประเทศสหรัฐฯ สำหรับธุรกิจผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์พลาสติกสำหรับเครื่องดื่มและอาหาร รายได้ประมาณร้อยละ 90 มาจากยอดขายในประเทศ ซึ่งประมาณร้อยละ 40 ของยอดขายในประเทศเป็นการขายให้กับบริษัทฯ ผู้ผลิตเครื่องดื่มและอาหารชั้นนำ

ความเสี่ยงจากราคาวัตถุดิบที่ผันผวน: EPG มีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของราคาวัตถุดิบ โดยวัตถุดิบหลักได้แก่ สารประกอบโพลีเมอร์และพลาสติก ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 40-50 ของต้นทุนสินค้าที่ขาย ราคาสารประกอบโพลีเมอร์และพลาสติกเหล่านี้ ก็จะผันผวนตามราคาปิโตรเคมีที่เป็นวัตถุดิบ โดยราคาปิโตรเคมีดังกล่าวมักจะขึ้นลงตามราคาน้ำมันดิบเป็นหลัก การเพิ่มขึ้นของราคาวัตถุดิบที่มากอาจจะทำให้อัตราส่วนกำไรและรายได้ของบริษัทฯ ลดลงอย่างมากได้ในระยะสั้นๆ

อย่างไรก็ตาม ในอดีต EPG สามารถจะปรับราคาขายขึ้นหลังจากราคาวัตถุดิบเพิ่มขึ้นประมาณ 2 เดือน เนื่องจากธุรกิจผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์ตกแต่งสำหรับรถยนต์ที่ทำจากโพลีเมอร์และพลาสติก และธุรกิจผลิตฉนวนยางกันความร้อน/เย็น มีคู่แข่งอยู่ไม่มากนัก ส่วนธุรกิจผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก EPG สามารถปรับราคาขายได้เร็วกว่าสำหรับลูกค้าปลีก

การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป
EPG มีสถานะทางธุรกิจอยู่ในระดับปานกลางเมื่อเทียบกับบริษัทในประเทศไทยอื่นๆ ที่ฟิทช์จัดอันดับเครดิต แต่มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งกว่า EPG ดำเนินธุรกิจแปรรูปโพลีเมอร์และพลาสติก คล้ายกับ บริษัท โพลีเพล็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ PTL ซึ่งเป็นหนึ่งในสิบผู้ผลิตแผ่นฟิล์ม PET รายใหญ่ที่สุดในโลกในด้านการผลิต โดยมีอันดับเครดิตที่ A-(tha) แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ แต่มีธุรกิจปลายทางที่แตกต่างกัน EPG มีการกระจายตัวของธุรกิจตามภูมิภาคที่น้อยกว่าแต่มีธุรกิจปลายทางที่กระจายตัวมากกว่าซึ่งช่วยลดทอนขนาดธุรกิจที่เล็กกว่า ทั้งสองบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินที่ต่ำ

สถานะทางธุรกิจและสถานะทางการเงินของ EPG มีความใกล้เคียงกันกับของ บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE ซึ่งมีอันดับเครดิตที่ A-(tha) แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ KCE เป็นหนึ่งในสิบผู้ผลิตแผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ที่ใช้ในอุตสาหกรรมรถยนต์ของโลกวัดจากรายได้ KCE ดำเนินธุรกิจผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งมีความเสี่ยงสูงกว่า แต่ความเสี่ยงดังกล่าวถูกลดทอนลงด้วยการที่บริษัทเน้นผลิตผลิตภัณฑ์สำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ ซึ่งมีความยากลำบากสำหรับคู่แข่งรายใหม่ในการเข้าสู่อุตสาหกรรมดังกล่าว ทั้งนี้ KCE และ EPG มีขนาดธุรกิจที่ใกล้เคียงกัน แต่ KCE มี EBITDA margin ที่ดีกว่า ทั้งนี้ทั้งสองบริษัท มีอัตราส่วนหนี้สินที่อยู่ในระดับต่ำ ถึงแม้ว่าจะมีการเพิ่มขึ้นชั่วคราวจากการลงทุนที่เพิ่มขึ้น

EPG ถูกจัดอันดับสูงกว่า บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BAFS ซึ่งมีอันดับเครดิตที่ BBB+(tha) แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ เนื่องจาก EPG มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งกว่าและอัตราส่วนหนี้สินที่ต่ำกว่า EPG มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายกว่า มีธุรกิจปลายทางที่กระจายตัวมากกว่า และดำเนินธุรกิจในหลากหลายภูมิภาคกว่า เมื่อเทียบกับ BAFS ที่ดำเนินธุรกิจให้บริการคลังเก็บน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน และการบริการเติมน้ำมันอากาศยานที่สนามบินหลักในประเทศไทยเท่านั้น

สมมติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ:

  • รายได้เติบโตร้อยละ 4-5 ต่อปี ในปีงบการเงิน 2567-2571
  • Operating EBITDA margin อยู่ที่ระดับร้อยละ 14-17 ต่อปี (ปีงบการเงิน 2566 อยู่ที่ร้อยละ 14.8 และ ไตรมาสแรกของปีงบการเงิน 2567 อยู่ที่ร้อยละ 15)
  • งบการลงทุนประมาณ 600 ล้านบาทต่อปี
  • จ่ายเงินปันผลประมาณร้อยละ 60 ของกำไรสุทธิ

ปัจจัยที่อาจมีผลกับอันดับเครดิตในอนาคต
ปัจจัยบวก:

  • ฟิทช์คาดว่าไม่น่าจะมีปัจจัยบวกต่ออันดับเครดิตของบริษัทฯ ในช่วง 24 เดือนข้างหน้า เนื่องจากขนาดธุรกิจของ EPG มีขนาดเล็กกว่าบริษัทในประเทศไทยอื่นๆ ที่ฟิทช์จัดอันดับเครดิตที่สูงกว่า

ปัจจัยลบ:

  • กระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ลดลง หรือการลงทุนโดยใช้หนี้ที่เพิ่มขึ้น มากกว่าที่ฟิทช์คาดการไว้ ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรที่ได้จากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA Net Leverage) สูงกว่า 1.5 เท่าอย่างต่อเนื่อง
  • สถานะทางธุรกิจหรือความสามารถในการแข่งขันอ่อนแอลง ทำให้ EBITDA ลดลงอย่างต่อเนื่อง

สภาพคล่อง
สภาพคล่องอยู่ในระดับบริหารจัดการได้: สภาพคล่องของบริษัทฯ ได้รับการสนับสนุนจากเงินสดจำนวน 1.3 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2566 บริษัทฯ มีหนี้ที่จะถึงกำหนดชำระภายใน 12 เดือน อยู่ที่ 1.5 พันล้านบาท โดยประมาณร้อยละ 84 เป็นหนี้ระยะสั้นที่ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ บริษัทฯ มีวงเงินสำหรับเงินทุนหมุนเวียนจากสถาบันการเงินถึงแม้ว่าจะเป็นวงเงินที่สามารถยกเลิกได้ ประมาณ 4.6 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือน มีนาคม 2566 ฟิทช์เชื่อว่าสภาพคล่องของบริษัทฯจะได้รับการสนับสนุนโดยการเข้าถึงแหล่งเงินกู้จากธนาคารในประเทศที่เพียงพอ เนื่องจากบริษัทฯมีผลการดำเนินงานและอันดับเครดิตที่ดี

ข้อมูลของบริษัท
EPG เป็นผู้นำในธุรกิจผลิตฉนวนยางกันความร้อน/เย็น ที่ผลิตจากยางสังเคราะห์ประเภท EPDM, ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ และธุรกิจผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกสำหรับเครื่องดื่มและอาหารในประเทศไทย ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ และธุรกิจผลิตฉนวนยางกันความร้อน/เย็น มีสัดส่วนยอดขายประมาณร้อยละ 49 และร้อยละ 30 ตามลำดับของยอดขายรวมในปีงบการเงิน 2566 โดยยอดขายส่วนที่เหลือมาจากธุรกิจผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก

ที่มา: ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย)

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๐ ธ.ค. ASMT ผนึก TFT ร่วมลงนามด้านวิชาการด้านอุตสาหกรรมการบิน
๒๐ ธ.ค. กรมวิชาการเกษตร เดินหน้า ถ่ายทอดองค์ความรู้การผลิตอะโวคาโดคุณภาพ สร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกรกว่า 2 แสนบาท/ไร่
๒๐ ธ.ค. Dow มุ่งพัฒนาประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ Personal Care ควบคู่ความยั่งยืน ตอบโจทย์ผู้บริโภคตลาดเครื่องสำอางในภูมิภาคเอเชีย
๒๐ ธ.ค. โอซีซี มอบความรู้ พัฒนาอาชีพให้ผู้ต้องขังหญิง
๒๐ ธ.ค. ดร.นุชนารถ ชลคงคา นำทีมสถาบัน ESTC จัดอบรมให้ Karmakamet
๒๐ ธ.ค. กนภ. เห็นชอบร่าง พรบ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลไกสำคัญสู่เส้นทางเศรษกิจคาร์บอนต่ำ และมีภูมิคุ้มกันฯ
๒๐ ธ.ค. WePlay x คอลแลบตัวละครสุดปัง! พบกับมินิเกมใหม่ และการ์ตูนสุดน่ารักที่คุณจะต้องหลงรัก
๒๐ ธ.ค. เดลต้า ประเทศไทย และ WEnergy Global ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อขับเคลื่อนอนาคตพลังงานสีเขียว
๒๐ ธ.ค. ความภาคภูมิใจของ ไลอ้อน กับ 3 รางวัลแห่งเกียรติยศ เผยผลงานโดดเด่นกับหลายรางวัลที่ได้รับในปี 2567
๒๐ ธ.ค. NOBLE คว้าเรทติ้งสูงสุด ระดับ AAA SET ESG Ratings ประจำปี 2567 ยกระดับองค์กรสู่ความยั่งยืนภายในแนวคิด Live Different ตามกรอบ