ราช กรุ๊ป จัดแผนกลยุทธ์ครึ่งปีหลัง ดันกำลังการผลิต 10,000 เมกะวัตต์ เดินหน้าโครงการพลังงานทดแทนในฟิลิปปินส์และออสเตรเลีย

ศุกร์ ๐๑ กันยายน ๒๐๒๓ ๑๕:๐๗
บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ชูแผนกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง มุ่งเน้น 5 แนวทาง ประกอบด้วย 1) การเร่งพัฒนาโครงการในพอร์ตของบริษัทร่วมทุน เน็กส์ซิฟ ราช เอ็นเนอร์ยี อินเวสเม้นต์ (NREI) และบริษัท ราช-ออสเตรเลีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (RAC) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในออสเตรเลีย 2) แสวงหาการลงทุนในตลาดเดิมที่มีศักยภาพ และตลาดใหม่เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว 3) การบริหารสินทรัพย์เพื่อสร้างรายได้และการเติบโตอย่างยั่งยืน 4) การบริหารโครงการที่กำลังก่อสร้างให้แล้วเสร็จและเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าให้กับลูกค้าได้ตามกำหนดเวลา และ 5) มุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050 แนวทางดังกล่าวนี้จะช่วยให้บริษัทฯ สามารถเติบโตได้ต่อเนื่องในระยะยาว ซึ่งปัจจุบันกำลังการผลิตที่บริษัทฯ รับรู้ตามสัดส่วนการลงทุนได้เพิ่มขึ้นถึง 10,807.35 เมกะวัตต์

นางสาวชูศรี เกียรติขจรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การดำเนินงานในช่วง 6 เดือนหลังจากนี้ บริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงการที่มีอยู่ในพอร์ตของ NREI และ RAC รวม 9 โครงการ กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น รวม 1,116.98 เมกะวัตต์ โดย 4 โครงการ ตั้งอยู่ในฟิลิปปินส์ ซึ่งถือเป็นตลาดใหม่ที่สำคัญของบริษัทฯ ประกอบด้วยโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ 2 แห่ง และโครงการพลังงานลมบนชายฝั่ง และในทะเล อีก 2 โครงการ รวมกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นประมาณ 550 เมกะวัตต์ อีกทั้งยังมีโครงการพลังงานน้ำและลมในเวียดนามอีก 2 โครงการ กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น รวม 65.15 เมกะวัตต์ และอีก 3 โครงการในออสเตรเลีย ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าพลังงานลม โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ และโครงการระบบกักเก็บพลังงานแบบแบตเตอรี่ กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นรวม 502 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้แสวงหาโอกาสต่อยอดการลงทุนและประสานความร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจชั้นนำในการขยายฐานธุรกิจในตลาดเดิม ได้แก่ ไทย สปป.ลาว อินโดนีเซีย เวียดนาม และออสเตรเลีย ทั้งในธุรกิจพลังงานไฟฟ้าและนอกภาคการผลิตไฟฟ้า โดยพิจารณาการลงทุนผสมผสานทั้งโครงการประเภท Greenfields หรือ Brownfields รวมทั้งการเข้าซื้อกิจการที่ดำเนินงานแล้ว เพื่อให้พอร์ตการลงทุนสมดุลและอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ในระดับที่ยอมรับได้

"ในปีนี้บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการเข้าสู่ตลาดฟิลิปปินส์ โดยโครงการพลังงานแสงอาทิตย์คาลาบังก้า กำลังการผลิตติดตั้ง 74 เมกะวัตต์สูงสุด อยู่ระหว่างการก่อสร้างและกำหนดจะผลิตไฟฟ้าจำหน่ายเชิงพาณิชย์ในปี 2567 ซึ่งกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้ร้อยละ 85 มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับบริษัทในเครือของ AboitizPower, AP Renewables และ Aventenergy นอกจากนี้ ยังมีโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ NPSI ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 150 เมกะวัตต์สูงสุด รวมทั้งโครงการพลังงานลมบนชายฝั่งอ่าวซานมิเกล และโครงการพลังงานลมในทะเล ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่กำลังการผลิตติดตั้งประมาณ 400-450 เมกะวัตต์ ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและคาดว่าจะสามารถผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2568 ปี 2570 และปี 2571 ตามลำดับ ส่วนในออสเตรเลียได้เริ่มพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ กำลังการผลิตติดตั้ง 150 เมกะวัตต์สูงสุด ซึ่งคาดหมายว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในปี 2568 นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ดำเนินการศึกษาเพื่อหาลู่ทางการลงทุนในตลาดประเทศพัฒนาแล้ว ทั้งโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติที่มีศักยภาพสามารถเปลี่ยนเป็นเชื้อเพลิงไฮโดรเจนได้ ตลอดจนโครงการผลิตเชื้อเพลิงไฮโดรเจนในออสเตรเลีย ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพมาก กอปรกับบริษัทฯ มีโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนอยู่หลายแห่งจึงถือเป็นโอกาสที่น่าสนใจ อีกทั้งยังจะช่วยสนับสนุนเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกเพื่อให้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050 (พ.ศ. 2593) ได้เป็นอย่างดี" นางสาวชูศรี กล่าว

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการบริหารประสิทธิภาพสินทรัพย์ เพื่อสร้างการเติบโตและความมั่นคงของรายได้ โดยกลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดเล็กประเภทโคเจนเนอเรชั่นในประเทศไทย ได้มุ่งเน้นด้านการตลาดเพื่อเพิ่มลูกค้าอุตสาหกรรมซื้อไฟฟ้าและไอน้ำให้เต็มกำลังการผลิตที่มีอยู่ ขณะที่โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ในประเทศและต่างประเทศ จะเน้นที่การรักษาประสิทธิภาพความพร้อมจ่ายรองรับคำสั่งเดินเครื่องของลูกค้า บริหารจัดการเชื้อเพลิงและต้นทุนการผลิตให้มีประสิทธิภาพ ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการน้ำและติดตามสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อประเมินความเสี่ยงและบริหารการผลิตไฟฟ้าให้ได้ตามสัญญา ปัจจุบัน โครงการที่กำลังพัฒนาและก่อสร้าง ซึ่งจะทยอยเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ปี 2566 จนถึง ปี 2576 มีจำนวนรวม 20 โครงการ กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นรวม 2,933.39 เมกะวัตต์

ด้านการจัดการลดก๊าซเรือนกระจก ในปีนี้ บริษัทฯ ได้กำหนดแผนกลยุทธ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมี 3 แนวทาง คือ การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าเพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การขยายการลงทุนในธุรกิจ สีเขียว และการชดเชยและซื้อ-ขายคาร์บอน ซึ่งแต่ละแนวทางได้กำหนดเป้าหมายระยะกลางในปี 2030 ไว้อย่างชัดเจน ประกอบด้วย การลดปริมาณความเข้มข้นของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อหน่วยไฟฟ้า (GHG Intensity) ให้ได้ 15% เทียบกับปีฐาน 2566 การเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานทดแทนให้ถึง 30% และเป้าหมายการดูดกลับก๊าซเรือนกระจกจากป่าไม้ (คาร์บอนเครดิต) ให้ได้ 1% ของปริมาณการปล่อยทั้งหมด โดยบริษัทฯ ได้จัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวแล้ว

อนึ่ง ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 9/2566 เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม ที่ผ่านมา ได้อนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลการดำเนินงานรอบ 6 เดือนแรก (วันที่ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2566) เป็นเงินปันผลจ่ายระหว่างกาลจำนวน 1,740 ล้านบาท คิดเป็น 0.80 บาทต่อหุ้น ตามกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผลระหว่างกาล (Record Date) ในวันที่ 4 กันยายน 2566 โดยมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 15 กันยายน ศกนี้

ที่มา: ราช กรุ๊ป

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๐ ธ.ค. ASMT ผนึก TFT ร่วมลงนามด้านวิชาการด้านอุตสาหกรรมการบิน
๒๐ ธ.ค. กรมวิชาการเกษตร เดินหน้า ถ่ายทอดองค์ความรู้การผลิตอะโวคาโดคุณภาพ สร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกรกว่า 2 แสนบาท/ไร่
๒๐ ธ.ค. Dow มุ่งพัฒนาประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ Personal Care ควบคู่ความยั่งยืน ตอบโจทย์ผู้บริโภคตลาดเครื่องสำอางในภูมิภาคเอเชีย
๒๐ ธ.ค. โอซีซี มอบความรู้ พัฒนาอาชีพให้ผู้ต้องขังหญิง
๒๐ ธ.ค. ดร.นุชนารถ ชลคงคา นำทีมสถาบัน ESTC จัดอบรมให้ Karmakamet
๒๐ ธ.ค. กนภ. เห็นชอบร่าง พรบ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลไกสำคัญสู่เส้นทางเศรษกิจคาร์บอนต่ำ และมีภูมิคุ้มกันฯ
๒๐ ธ.ค. WePlay x คอลแลบตัวละครสุดปัง! พบกับมินิเกมใหม่ และการ์ตูนสุดน่ารักที่คุณจะต้องหลงรัก
๒๐ ธ.ค. เดลต้า ประเทศไทย และ WEnergy Global ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อขับเคลื่อนอนาคตพลังงานสีเขียว
๒๐ ธ.ค. ความภาคภูมิใจของ ไลอ้อน กับ 3 รางวัลแห่งเกียรติยศ เผยผลงานโดดเด่นกับหลายรางวัลที่ได้รับในปี 2567
๒๐ ธ.ค. NOBLE คว้าเรทติ้งสูงสุด ระดับ AAA SET ESG Ratings ประจำปี 2567 ยกระดับองค์กรสู่ความยั่งยืนภายในแนวคิด Live Different ตามกรอบ