บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์หลัทรัพย์ของบริษัท กิจเจริญ เอ็นจิเนียริ่ง อีเลคทริค จำกัด (มหาชน) หรือ KJL วันที่ 31 สิงหาคม โดยบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ได้ปรับราคาเป้าหมายใหม่หุ้น KJL ที่ 12.40 บาทเพิ่มจากราคาเป้าหมายเดิมที่ 10.50 บาท คิดเป็นอัพไซส์กว่า 27%
ทั้งนี้บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัดคาดกำไรทำจุดสูงสุดใหม่ หรือ New high ถึง 4Q66 เป็นอย่างน้อย ตามแผนการเพิ่มกำลังการผลิตหลังการ IPO ตั้งเป้าขยายกำลังการผลิต 50% เป็น 30 ล้านชิ้นต่อปีภายในปี 2566 ปัจจุบันการขยายกำลังการผลิตทำได้ดีกว่าแผน โดยเดือน ก.ค. สามารถขยายกำลังการผลิตไปแล้ว 27 ล้านชิ้นต่อปี ขณะที่การใช้อัตรากำลังการผลิตยังทรงตัวสูงที่ 70 - 75% และยังต้องมีการทำงานล่วงเวลาในบางช่วง สะท้อนถึงปริมาณความต้องการของลูกค้ายังสูง แม้ว่าปริมาณงานในตลาดลดลงตามภาวะตลาดที่ขาดแรงกระตุ้นจากรัฐบาล ประกอบกับเริ่มเข้าสู่ High season ในเดือน ก.ย. คาดกำไรของ KJL จะทำระดับสูงสุดใหม่ที่ 42 ลบ.+/- ใน 3Q66 และ High season ยังต่อเนื่องถึงเดือน ต.ค. และพ.ย. และคาดว่างานของลูกค้าจะเริ่มมากขึ้นทั้งภาครัฐฯ และเอกชน หลังจากที่ได้รัฐบาลใหม่ และมีการกระตุ้นเศรษฐกิจในทุกภาคส่วน คาดกำไรสุทธิทำระดับสูงสุดใหม่ที่ 45 ลบ.+/- หากเป็นไปตามคาดจะทำให้ประมาณการกำไรปี 2566 มี Upside risk ราว 7%
ในขณะเดียวันบริษัทเน้นที่คุณภาพของสินค้ามากกว่าการแข่งขันด้านราคา มีกำลังการผลิตสูงที่สุดในตลาดตู้ไฟ และรางไฟ ทำให้ราคาสูงกว่าสินค้าคุณภาพต่ำในท้องตลาดไม่มาก แต่คุณภาพต่างกว่ามาก อีกทั้งมีจุดแข็งที่มีสต๊อกสินค้าที่สามารถส่งให้ได้ภายในครึ่งถึง 1 วันซึ่งเป็น Pain point หลักของผู้รับเหมาที่มักจะเร่งงานในช่วงปลายระยะเวลาโครงการซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นงานระบบ ทำให้ผู้รับเหมาเน้นสินค้าที่สามารถสั่งแล้วได้ของเลยมากกว่าด้านราคา จุดแข็งนี้ทำให้มี Barrier ในการเข้ามาในอุตสาหกรรมนี้ยาก และการนำเข้าสินค้าราคาต่ำจากจีนทำได้ยาก เพราะต้องใช้เวลาในการขนส่ง ค่าขนส่งมีราคาสูงเพราะมีน้ำหนักมาก และต้องมีสต๊อกสินค้าจำนวนมากจึงจะตอบสนองความต้องการด้านเวลาของลูกค้าได้ ปัจจุบัน KJL ขยาย Awareness ไปยังกลุ่มผู้รับเหมารายย่อย และช่างไฟ ให้รู้จักแบรนด์ และเข้าใจในคุณภาพความแตกต่าง เพื่อให้เลือก KJL เป็นอันดับแรกเมื่อซื้อตู้ไฟ รางไฟ ผ่านการสร้างเครือข่ายสมาชิกทั่วประเทศ วางแผนเพิ่มเครือข่าย 5,000 รายในปี 2566 และเป็น 15,000 รายในปี 2568 จะช่วยสร้างยอดขายให้บริษัทได้ในอนาคต คาดกำไรปี 2567 เติบโตต่ออีก 18% YoY เป็น 177 ลบ. จากการขยายกำลังการผลิตในปี 2566 ส่งผลเต็มปี
รวมถึงบริษัทมีแผนขยายกำลังการผลิตต่อในปี 2568 จาก 30 ล้านชิ้นต่อปีในปี 2566 เป็น 40 ล้านชิ้นต่อปีภายในปี 2568 และการขยายกำลังการผลิตทั้งหมดจะเห็นผลเต็มปีในปี 2569 ทำให้คาดว่ากำไรของ KJL จะสามารถทำระดับสูงสุดใหม่ได้ต่อเนื่องถึงปี 2569 แม้ว่าตลาดอาจไม่เติบโตแต่เครือข่ายที่สร้างตั้งแต่ปี 2566 จะหนุนรายได้เติบโตได้แม้ในตลาดมูลค่าเท่าเดิม แต่เราประเมินว่าการขยายตัวของตลาดอสังหาฯ โรงแรม โรงพยาบาล โรงงาน Data center และโรงไฟฟ้า ในประเทศไทยน่าจะกลับมาเติบโตได้ในอัตราเร่งหลังได้รัฐบาลใหม่ ซึ่งจะเป็น Upside risk ต่อประมาณการในช่วง 2 - 3 ปีข้างหน้าเช่นกัน
ปัจจุบันราคาหุ้นซื้อขายที่ PER66-67 ต่ำเพียง 15.1 เท่าและ 12.8 เท่าตามลำดับ อิง PER ที่ 16.3 เท่า (รวมPremium 2% จาก Yuanta ESG Rating) และปรับไปใช้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567 ได้ราคาเป้าหมายใหม่อยู่ที่ 12.40 บาท มี Upside gain 27.2% คงคำแนะนำซื้อ
ที่มา: กลอรี่ แบรนดิ้ง