นางสาวเดือนพรรณ ลีลาวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไพโอเนีย แอดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บมจ.เอ็นแอล ดีเวลลอปเมนต์ หรือ NL เปิดเผยว่า ล่าสุดสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ สำนักงาน ก.ล.ต.ได้นับหนึ่งแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และหนังสือชี้ชวนของ NL ที่ได้ยื่นขอเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 130,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (Par) 1.00 บาท/หุ้น คิดเป็น 26% ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด เดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) หมวดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง (PROPCON) / บริการรับเหมาก่อสร้าง (CONS) ภายในปี 2566
โดย NL ประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้างครบวงจร (One-Stop Service) รับงานจากหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานรัฐประเภทอื่น รวมถึงหน่วยงานเอกชน ในฐานะผู้รับเหมาโดยตรง (Main Contractor) ด้วยวิธีประกวดราคา หรือเจรจาต่อรองกับผู้ว่าจ้างโดยตรง อีกทั้งบริษัทฯ ยังกำหนดให้หน่วยงานก่อสร้างและส่วนงานที่เกี่ยวข้องนำนโยบายคุณภาพตามมาตรฐาน ISO 9001:2015 มาปฏิบัติใช้เป็นหลัก เน้นประสิทธิภาพ คุณภาพ ความปลอดภัย รวมถึงการดำเนินงานโครงการตามระยะเวลาที่กำหนด และภายในวงเงินงบประมาณ พร้อมกันนี้บริษัทฯ ยังได้นำเทคโนโลยี BIM (Building Information Modeling) มาใช้ในการถอดแบบแต่ละขั้นตอนของการก่อสร้าง ทำให้การวิเคราะห์ การควบคุมงานออกแบบ การก่อสร้างเป็นไปอย่างมีคุณภาพและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ด้วยจุดเด่นด้านประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของ NL ที่สั่งสมมามากกว่า 40 ปี ส่งให้บริษัทฯ มีผลงานการให้บริการงานก่อสร้างหลากหลายประเภท ซึ่งบางประเภทอาคารหรือบางรูปแบบอาคารต้องอาศัยเทคนิคการก่อสร้างและความเชี่ยวชาญพิเศษ โดยสามารถแบ่งประเภทงานรับเหมาก่อสร้างของบริษัทฯ ออกได้เป็น 5 ประเภท ได้แก่ 1) สถานพยาบาล 2) อาคารสำนักงานและเพื่อการพาณิชย์ 3) อาคารพักอาศัย 4) อาคารพิเศษ และ 5) งานก่อสร้างอื่นๆ รวมถึงงานก่อสร้างที่มีจุดประสงค์แตกต่างไปจากประเภทงานโครงการประเภทอื่น เช่น โรงงาน คลังสินค้า ถนน เขื่อน เป็นต้น ซึ่งได้รับความไว้วางใจจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง อีกทั้ง บริษัทฯ ยังมีโรงงานในอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ประกอบด้วยโรงงานสำหรับตัดและดัดเหล็กเส้น และโรงงานสำหรับผลิตเฟอร์นิเจอร์งานตกแต่งภายในอาคารต่างๆ นอกจากนี้ยังมีอาคารโกดังเพื่อใช้เป็นพื้นที่ในการจัดเก็บเหล็กเส้น ซึ่งสามารถรองรับการจัดเก็บวัตถุดิบในกรณีที่ราคาวัตถุดิบมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นได้
นายศรันย์ โรจน์เลิศจรรยา กรรมการผู้จัดการ บมจ. เอ็นแอล ดีเวลลอปเมนต์ หรือ NL เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีแผนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในครั้งนี้ เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนและนักลงทุนได้เป็นส่วนหนึ่งในการต่อยอดความสำเร็จของบริษัทฯ ด้วยการเพิ่มศักยภาพขององค์กร เดินหน้างานธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอย่างครบวงจรแบบ One-Stop Service ยกระดับงานก่อสร้างที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพสูงสุด สำหรับการเดินหน้าเข้าจดทะเบียนในครั้งนี้ จึงนับเป็นก้าวที่สำคัญของ NL โดยมีวัตถุประสงค์ของการระดมทุน เพื่อนำเงินที่ได้ไปใช้เป็นเงินทุนในการซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์ก่อสร้าง และเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจภายในปี 67 รองรับการขยายตัวของธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
โดยโครงสร้างรายได้ของบริษัทฯ ประกอบด้วย รายได้จากการรับเหมาก่อสร้างและรายได้อื่น ซึ่งผลการดำเนินงาน ในปี 2563 - 2565 บริษัทฯ มีรายได้จากการรับเหมาก่อสร้างเท่ากับ 1,690.75 ล้านบาท 1,384.79 ล้านบาท และ 1,218.79 ล้านบาท ตามลำดับ โดยรายได้ที่ลดลงระหว่างปี 2563 - 2565 สาเหตุหลักมาจากที่หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนชะลอแผนการเปิดประมูลและการลงทุนก่อสร้างอาคาร จากความไม่แน่นอนของสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 และบริษัทฯ พิจารณาเข้าประมูลและเสนอราคาเฉพาะโครงการที่คาดว่าจะส่งผลให้บริษัทฯ ได้รับประโยชน์และกำไรจากการให้บริการรับเหมาก่อสร้าง และแม้ว่ารายได้จากการรับเหมาก่อสร้างจะลดลง บริษัทฯ ยังคงบริหารต้นทุนจากการรับเหมาก่อสร้างได้ดี รวมถึงการได้รับค่า K (ดัชนีที่ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงมูลค่างาน) จากการดำเนินงานก่อสร้าง ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิในช่วงปี 2563 - 2565 เท่ากับ 50.90 ล้านบาท 57.33 ล้านบาท และ 57.56 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 3.01 ร้อยละ 4.14 และร้อยละ 4.72 ตามลำดับ
สำหรับงวด 6 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,148.54 ล้านบาท เป็นรายได้จากการรับเหมาก่อสร้าง 1,142.56 ล้านบาท และรายได้อื่น 5.98 ล้านบาท ซึ่งรายได้จากการรับเหมาก่อสร้างเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 148.82 และบริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 67.53 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 5.91 โดยโครงสร้างรายได้จากการรับเหมาก่อสร้าง มีสัดส่วนหลักมาจากโครงการกลุ่มสถานพยาบาลร้อยละ 79.72 สะท้อนความเชี่ยวชาญของ NL และมีสัดส่วนลูกค้าหน่วยงานราชการคิดเป็นร้อยละ 72.60 รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานรัฐประเภทอื่นร้อยละ 14.09 และหน่วยงานเอกชนร้อยละ 13.32 NL พร้อมเดินหน้าเติบโตไปกับเม็ดเงินการลงทุน และภาคอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังขยายตัวในประเทศอย่างต่อเนื่อง
ที่มา: ไออาร์ พลัส