ผลสำรวจจากพาโล อัลโต เน็ตเวิร์กส์ เผยองค์กรในไทยมีความมั่นใจ ในมาตรการระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์เพิ่มขึ้น

จันทร์ ๑๘ กันยายน ๒๐๒๓ ๑๖:๓๖
วันนี้ พาโล อัลโต เน็ตเวิร์กส์ (NASDAQ: PANW) ผู้นำระดับโลกด้านระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ เปิดเผยรายงานสถานการณ์ระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ในอาเซียนปี 2566 ข้อมูลในรายงานระบุว่า เมื่อปีที่ผ่านมาประเทศไทยพบปัญหา "การโจมตีที่สร้างความเสียหายอย่างหนัก" ในปริมาณน้อยที่สุด โดยมีองค์กร 22% ที่พบจำนวนอุบัติการณ์เพิ่มขึ้นมากกว่า 50% เมื่อเทียบกับในอดีต ทั้งนี้ การปกป้องเทคโนโลยีเชิงปฏิบัติการ (OT) โดยเฉพาะระบบที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานสำคัญยังคงเป็นข้อกังวลหลัก เพราะบริการพื้นฐานสำคัญเหล่านั้นต้องเผชิญกับการโจมตีที่สร้างความเสียหายในระดับที่สูงกว่าภาคส่วนอื่นๆ

ข้อกังวลอันดับต้นๆ ด้านระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์

ประเภทการโจมตีที่องค์กรในไทยมีความกังวลมากที่สุด ได้แก่ มัลแวร์ (57%) และการเข้าควบคุมบัญชีผู้ใช้ (57%) และการโจมตีรหัสผ่าน (53%) ซึ่งภายใต้สถานการณ์ที่ต้องพึ่งพาบริการและแอปพลิเคชันระบบคลาวด์มากขึ้น ธุรกิจในไทยระบุว่า ปัญหาสำคัญด้านระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ที่ตนเองต้องเผชิญหน้าก็คือ ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากอุปกรณ์ IoT ที่ไม่ปลอดภัย (54%) ความจำเป็นที่ต้องจัดซื้อโซลูชันระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์หลากหลายรูปแบบ (47%) และการทำธุรกรรมดิจิทัลกับบุคคลภายนอก (47%)

อย่างไรก็ดีหากเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียนพบว่า ประเทศไทยอยู่ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างดีในด้านการเผชิญความเสี่ยงเกี่ยวกับความปลอดภัยไซเบอร์และการยกระดับทักษะในด้านนี้ โดยมีองค์กรเพียง 37% เท่านั้นที่มองว่าภัยคุกคามทางไซเบอร์อยู่ในระดับสูงหรือสูงมาก และถือเป็นอัตราส่วนที่ต่ำที่สุดในอาเซียน ขณะที่องค์กรในไทยที่มองว่าเกิดการโจมตีที่สร้างความเสียหายอย่างหนักเพิ่มขึ้นมากกว่า 50% นั้น มีจำนวนอยู่เพียงราว 22% ขององค์กรทั้งหมดที่มีความมั่นใจในการติดตามปัญหาระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ ซึ่งนับว่าเป็นอัตราส่วนที่ต่ำที่สุดในอาเซียน

ในกลุ่มประเทศอาเซียนนั้น อุตสาหกรรมต่างๆ มีความมั่นใจในมาตรการรักษาความปลอดภัย แต่เห็นได้ชัดในภาคบริการ (ธนาคารและการเงิน) ตลอดจนการขนส่งและโลจิสติกส์

ส่วนในระดับประเทศนั้น ไทยถือว่ามีความมั่นใจค่อนข้างสูงที่ 87% ว่ามาตรการรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ในปัจจุบันจะปกป้องภัยคุกคามได้ อีกทั้งไทยยังมีคะแนนนำในด้านทักษะระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์พื้นฐาน โดยธุรกิจกว่า 78% มีการฝึกอบรมเรื่องนี้แก่พนักงานอย่างเป็นทางการ

ระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ยังคงเป็นภารกิจที่ธุรกิจในไทยให้ความสำคัญเป็นลำดับแรก เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา องค์กรในไทยราว 38% เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริษัทมีการพูดถึงระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ทุกเดือน นอกจากนี้ธุรกิจในไทยราว 49% ยังได้เพิ่มงบประมาณด้านระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์เพราะต้องการปรับปรุงการดำเนินงาน (54%) มีการออกหรือปรับกฎระเบียบใหม่ตามกฎหมายด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (44%) เพื่อเดินหน้าเปลี่ยนแปลงกระบวนการสู่ดิจิทัลมากขึ้น (37%) และเนื่องจากสภาพการณ์ของภัยคุกคามมีการเปลี่ยนแปลง (37%)

ดร. ธัชพล โปษยานนท์ ผู้อำนวยการประจำประเทศไทยและอินโดจีน พาโล อัลโต เน็ตเวิร์กส์ กล่าวว่า "ความมั่นใจในมาตรการรักษาความปลอดภัยชี้ให้เห็นว่า ธุรกิจได้วางแนวทางที่ยืดหยุ่นในการรับมือกับการโจมตีทางไซเบอร์ที่มีรูปแบบซับซ้อนยิ่งขึ้น โดยไทยได้รับ "ผลจากการโจมตีที่สร้างความเสียหายอย่างหนัก" ในปริมาณน้อยที่สุด (22%) แต่ก็มีการเพิ่มงบประมาณด้านระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์น้อยที่สุดเช่นกันเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ทั้งนี้เพราะองค์กรต่างๆ ในไทยได้เตรียมตัวมาเป็นเวลาหลายปีจนเห็นผลลัพธ์จากการลงทุนในด้านดังกล่าว อย่างไรก็ดี ระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ยังคงเป็นเรื่องสำคัญที่สุดสำหรับผู้บริหาร เพราะอาชญกรไซเบอร์เองก็เดินหน้าปรับตัวและใช้เทคนิคต่างๆ ที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นเช่นกัน"

กลยุทธ์ด้านระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์

กลยุทธ์ด้านระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ที่สำคัญที่สุดสามอันดับแรกในไทยประกอบด้วย การรักษาความปลอดภัยแก่ IoT/OT (43%) การยกเครื่องระบบตรวจจับภัยคุกคามและระบบ/แพลตฟอร์มตรวจหาพฤติการณ์ที่สัมพันธ์ (40%) การจัดการตัวตนและการเข้าถึงระบบ (38%) รวมถึงกลยุทธ์การประสานงาน การรับมือ และระบบอัตโนมัติด้านการรักษาความปลอดภัย (SOAR) สำหรับ SOC (38%)

การผสานการทำงานกับ AI เป็นเทคโนโลยีที่ธุรกิจต่างๆ กำลังเตรียมติดตั้งในเร็วๆ นี้ ทั้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และในไทย (56%) โดยธุรกิจด้านโทรคมนาคม/เทคโนโลยี/สื่อสาร ให้ความสนใจในการนำ AI เข้ามาใช้มากที่สุดในภูมิภาค และคาดว่าจะเติบโตในอัตราที่เร็วขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

"ปัญหาการโจมตีทางไซเบอร์ยังคงขยายตัวไปพร้อมกับการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน และเห็นชัดเจนอย่างมากในบางอุตสาหกรรม เช่น ภาคธนาคารและการเงิน ซึ่งโดนกดดันให้ต้องทำเร่งทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันและเกิดการแข่งขันกันในระดับสูง ดังนั้นองค์กรต่างๆ ในไทย โดยเฉพาะในภาคธนาคารและการเงิน จึงจำเป็นต้องสร้างโครงสร้างระบบไอที ที่แข็งแกร่งเพื่อให้ธุรกิจมีความพร้อมในการรับมือช่องโหว่ด้านความปลอดภัยในแบบต่างๆ" ดร. ธัชพล กล่าว

หมายเหตุ
การสำรวจครั้งนี้ดำเนินการทางออนไลน์ในเดือนเมษายน 2566 ร่วมกับผู้มีอำนาจตัดสินใจด้านไอทีขององค์กรและผู้นำธุรกิจรวมทั้งสิ้น 500 คน ในห้าอุตสาหกรรมหลักในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ด้านบริการ (ธนาคาร การเงิน), รัฐบาล/ภาครัฐ/บริการพื้นฐาน, โทรคมนาคม/เทคโนโลยี/สื่อสาร, ภาคค้าปลีก/โรงแรม/อาหารและเครื่องดื่ม, ขนส่งและโลจิสติกส์ และภาคการผลิต โดยมีผู้ตอบแบบสอบถามประเทศละ 100 คน ทั้งจากสิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย

ที่มา: PRecious Communications

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๐ ธ.ค. ASMT ผนึก TFT ร่วมลงนามด้านวิชาการด้านอุตสาหกรรมการบิน
๒๐ ธ.ค. กรมวิชาการเกษตร เดินหน้า ถ่ายทอดองค์ความรู้การผลิตอะโวคาโดคุณภาพ สร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกรกว่า 2 แสนบาท/ไร่
๒๐ ธ.ค. Dow มุ่งพัฒนาประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ Personal Care ควบคู่ความยั่งยืน ตอบโจทย์ผู้บริโภคตลาดเครื่องสำอางในภูมิภาคเอเชีย
๒๐ ธ.ค. โอซีซี มอบความรู้ พัฒนาอาชีพให้ผู้ต้องขังหญิง
๒๐ ธ.ค. ดร.นุชนารถ ชลคงคา นำทีมสถาบัน ESTC จัดอบรมให้ Karmakamet
๒๐ ธ.ค. กนภ. เห็นชอบร่าง พรบ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลไกสำคัญสู่เส้นทางเศรษกิจคาร์บอนต่ำ และมีภูมิคุ้มกันฯ
๒๐ ธ.ค. WePlay x คอลแลบตัวละครสุดปัง! พบกับมินิเกมใหม่ และการ์ตูนสุดน่ารักที่คุณจะต้องหลงรัก
๒๐ ธ.ค. เดลต้า ประเทศไทย และ WEnergy Global ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อขับเคลื่อนอนาคตพลังงานสีเขียว
๒๐ ธ.ค. ความภาคภูมิใจของ ไลอ้อน กับ 3 รางวัลแห่งเกียรติยศ เผยผลงานโดดเด่นกับหลายรางวัลที่ได้รับในปี 2567
๒๐ ธ.ค. NOBLE คว้าเรทติ้งสูงสุด ระดับ AAA SET ESG Ratings ประจำปี 2567 ยกระดับองค์กรสู่ความยั่งยืนภายในแนวคิด Live Different ตามกรอบ