ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้เริ่มมีการปรับโหมดธุรกิจครั้งใหญ่ เมื่อต้นปีที่ผ่านมา หรือทรานฟอร์เมชั่น จากธุรกิจ เทรดดิ้งคัมพานี กระจายไปสู่การมีรายได้ประจำสม่ำเสมอรายเดือน หรือ Recurring Income ทั้งในรูปแบบ Revenue Sharing และในรูปแบบ เช่าใช้ หรือ เช่าซื้อ เครื่องมือแพทย์ต่างๆ ของบริษัทฯ เพื่อขยายฐานลูกค้าเพิ่ม และไตรมาส 2/66 นี้ มีกำไรสุทธิ 28.63 ลบ. เติบโต 257% QoQ และมีกำไรครึ่งปีแรกประมาณ 36.6 ลบ.
รุกหนักธุรกิจ Revenue Sharing เครื่องออกซิเจนความดันสูง (Mild Hyperbaric Oxygen Chamber - mHBO) ล่าสุดได้มีการติดตั้งพร้อมให้บริการ ณ โรงพยาบาลศัลยกรรมมาสเตอร์พีซ โดยได้รับเกียรติจาก
คุณลภัสรดา เลิศภานุโรจ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ คุณพิสุจน์ น้ำสา (CFO) ของโรงพยาบาลศัลยกรรมมาสเตอร์พีซ ลงนามในบันทึกข้อตกลง ร่วมกับ บมจ. เซนต์เมด เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2566 ที่ผ่านมา และบริษัทฯ คาดว่าจะติดตั้งเครื่องออกซิเจนความดันสูง (Mild Hyperbaric Oxygen Chamber - mHBO) ตามสถานพยาบาลและคลีนิคต่างๆ ได้อีกประมาณ 10 เครื่องภายในสิ้นปีนี้
ดร.วิโรจน์ กล่าวต่อว่า แม้ว่ายอดขายในส่วนของธุรกิจเทรดดิ้ง ยังมีสัดส่วนมากกว่าอย่างมีนัยสำคัญ แต่หากมองไปในระยะ 1-2 ปี ข้างหน้า ธุรกิจในรูปแบบ Revenue Sharingและในรูปแบบ เช่าใช้ หรือ เช่าซื้อ เครื่องมือแพทย์ต่างๆ ของบริษัทฯจะสร้างผลตอบแทนที่มากกว่าอย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้ ในบริษัทฯ มีสินค้าเครื่องมือแพทย์จำนวนมากที่ปรับโหมดธุรกิจจากซื้อมาจำหน่ายไป เปลี่ยนรูปแบบเป็นรูปแบบ Revenue Sharing และในรูปแบบ เช่าใช้ หรือ เช่าซื้อ อาทิเช่น เครื่องออกซิเจนความดันสูง 2 ATA สำหรับรักษาผู้ป่วยเบาหวาน (Hyperbaric Oxygen Chamber Therapy - HBOT) ซึ่งในประเทศไทยมีผู้ป่วยเบาหวานอยู่เป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมีการติดตั้งใช้งานตามโรงพยาบาลต่างๆ ไม่มาก เครื่องตรวจความผิดปกติการนอนหลับ เครื่องกรองอนุภาคทางการแพทย์ประสิทธิภาพสูง เครื่องมือแพทย์ด้านเวชบำบัดวิกฤต ที่ใช้ในห้อง ICU และห้องฉุกเฉิน เป็นต้น นอกจากนี้บริษัทฯ ยังสนใจต่อยอดธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องรวมถึงการเจรจา ดีล M&A ต่างๆ ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการ
ดร.วิโรจน์ วสุศุทธิกุลกานต์ ยังกล่าวต่ออีกว่า บริษัทฯ ได้แจ้ง ตลท.ว่า คณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีการประชุม เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา และมีมติอนุมัติ โครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อการบริหารทางการเงินด้วยวงเงินที่ใช้ไม่เกิน 120 ลบ. จำนวนหุ้นไม่เกิน 22 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 9.79% ระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 9 ต.ค.66-30 มี.ค.67
ทั้งนี้ บริษัทมีกำไรสะสมเท่ากับ 466.21 ลบ. มีหนี้สินถึงกำหนดชำระภายใน 6 เดือน นับตั้งแต่เริ่มซื้อหุ้นคืนเท่ากับ 51.8 ลบ. นอกจากนี้ยังมีกระแสเงินสด 357.21 ลบ.และมีอัตราส่วนสินทรัพย์หมุนเวียน 12.29 เท่า จึงมีสภาพคล่องส่วนเกินเพียงพอตาการซื้อหุ้นคืน
ส่วนเหตุผลของการซื้อหุ้นคืน เพื่อเป็นการบริหารสภาพคล่องส่วนเกินของบริษัทให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทนให้กับผู้ลงทุนหรือผู้ถือหุ้นของบริษัท ในศักยภาพการสร้างรายได้และกำไรในอนาคตของบริษัท รวมถึงฐานะการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัท
ที่มา: เอ็ม ที มัลติมีเดีย