"มาเริ่มกันตั้งแต่วันนี้ ด้วยการสร้างเครือข่ายแห่งอนาคตเพื่อรองรับบริการในอนาคต พร้อมปลดปล่อยศักยภาพอันไร้ขีดจำกัดของ 5G เพื่อความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง" เขากล่าว
ในสุนทรพจน์ว่าด้วยการขับเคลื่อนวงจรธุรกิจ 5G เชิงบวกและการอ้าแขนรับ 5.5G (5G-A) คุณหลี่กล่าวว่า "เราอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องสู่ความสำเร็จของธุรกิจ 5G โดย 5G-Advanced ก็คือก้าวต่อไปในวิวัฒนาการของ 5G"
เขาย้ำว่า เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีต การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจครั้งสำคัญทุกครั้งล้วนเป็นผลมาจากการสร้างสรรค์นวัตกรรมเทคโนโลยีอเนกประสงค์ (General Purpose Technology) "ตอนนี้เราอยู่ในยุคดิจิทัล ซึ่งอินเทอร์เน็ตเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล"
"5G เป็นส่วนสำคัญของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจครั้งใหม่" คุณหลี่กล่าว "และทำให้เกิดการสร้างสรรค์นวัตกรรมเทคโนโลยีอเนกประสงค์ และสำหรับอุตสาหกรรมดิจิทัลแล้ว 5G กำลังช่วยเปิดตลาดและโอกาสใหม่ ๆ อย่างรวดเร็ว"
คุณหลี่กล่าวเสริมว่า เครือข่ายมือถือในอนาคตจำเป็นต้องมีคุณสมบัติหลักหกประการ ได้แก่ ดาวน์ลิงก์ 10 Gbps, อัปลิงก์ 1 Gbps, เครือข่ายเชิงกำหนด (Deterministic Networking), รองรับการเชื่อมต่อ IoT นับแสนล้าน, เซนเซอร์และการสื่อสารแบบควบรวม (Integrated Sensing & Communications) และความสามารถด้านเนทีฟ เอไอ (native AI) เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ผู้ให้บริการเครือข่ายและผู้เล่นในอุตสาหกรรมจำเป็นต้องปรับปรุงความสามารถอย่างต่อเนื่องในสามส่วนหลัก ได้แก่ ความเร็วของการเชื่อมต่อแบบไร้สายที่เพิ่มขึ้น (Enhanced Mobile Broadband: eMBB) การรองรับการสื่อสารของอุปกรณ์จำนวนมาก (Massive Machine Type Communications: mMTC) รวมถึงการสื่อสารที่มีเสถียรภาพสูงและความหน่วงต่ำ (Ultra-Reliable Low-Latency Communication: URLLC) อีกทั้งยังต้องพัฒนาความสามารถใหม่สามประการ ได้แก่ การสื่อสารบรอดแบนด์ที่มุ่งเน้นการอัปลิงก์ (Uplink Centric Broadband Communication: UCBC) การสื่อสารบรอดแบนด์แบบเรียลไทม์ (Real-Time Broadband Communication: RTBC) รวมถึงเซนเซอร์และการสื่อสารแบบประสาน (Harmonized Communication and Sensing: HCS)
เมื่อพูดถึง 5G-Advanced ซึ่งเป็นวิวัฒนาการก้าวต่อไปของเทคโนโลยี 5G คุณหลี่กล่าวว่า อุตสาหกรรมจำเป็นต้องทำงานร่วมกันเพื่อส่งเสริมการพัฒนาระบบนิเวศของอุปกรณ์และแอปพลิเคชัน ระบุกรณีการใช้งาน ตลอดจนเร่งดำเนินการเชิงพาณิชย์ในส่วนของโซลูชัน FWA Square, Passive IoT และ RedCap
ความพยายามเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการใช้ประโยชน์สูงสุดจากเทรนด์ใหม่ทั้งห้าที่จะกำหนดอนาคตดิจิทัลอัจฉริยะ ได้แก่
การดูวิดีโอ 3 มิติโดยไม่ต้องใส่แว่น
อุตสาหกรรมการดูวิดีโอ 3 มิติโดยไม่ต้องใส่แว่นกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีใหม่ ๆ ซึ่งรวมถึงการเรนเดอร์บนคลาวด์และมนุษย์เสมือนจริง 3 มิติแบบเรียลไทม์ จะยกระดับประสบการณ์ที่ดื่มด่ำสมจริงไปอีกขั้น และในอนาคต อุปกรณ์มากมาย เช่น โทรศัพท์มือถือและทีวี จะรองรับการดูวิดีโอ 3 มิติโดยไม่ต้องใส่แว่นมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งจะทำให้การรับส่งข้อมูลเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่าเมื่อเทียบกับวิดีโอ 2 มิติ
ยานพาหนะนำทางอัตโนมัติ
ภายในปี 2568 จะมีรถยนต์อัจฉริยะมากกว่า 500 ล้านคันบนท้องถนน เครือข่ายที่มีแบนด์วิดท์สูงและความหน่วงต่ำจะช่วยให้ยานพาหนะอัจฉริยะสามารถแบ่งปันข้อมูลกับผู้ขับขี่ ยานพาหนะ ถนน และระบบคลาวด์ได้แบบเรียลไทม์ ทั้งนี้ ในโหมดช่วยขับ ยานพาหนะอัจฉริยะจะใช้ข้อมูลมากกว่า 300 กิกะไบต์ทุกเดือนเพื่อฝึกโมเดลบนคลาวด์และอัปเดตอัลกอริทึมรายสัปดาห์ ส่วนในโหมดขับขี่อัตโนมัติ ปริมาณการใช้ข้อมูลจะเพิ่มขึ้นเป็น 100 เท่า
การผลิตยุคใหม่
ด้วยความก้าวหน้าในด้านต่าง ๆ เช่น การแบ่งเครือข่าย (Network Slicing) และการประมวลผลแบบเอดจ์ (Edge Computing) ทำให้จำนวนเครือข่ายส่วนตัว 5G สำหรับการใช้งานระดับองค์กรเพิ่มขึ้นเป็นร้อยเท่า และขนาดของตลาดก็เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสายการผลิตมีความยืดหยุ่นมากขึ้น พึ่งพาเครือข่ายไร้สายมากขึ้น และระบบการผลิตหลักถูกโยกไปอยู่บนคลาวด์มากขึ้น ดังนั้นเครือข่าย 5G จึงมีข้อกำหนดที่สูงขึ้น
หัวเว่ยทำงานร่วมกับผู้ให้บริการเครือข่ายและพันธมิตรในอุตสาหกรรมเพื่อสร้างสายการผลิตทดลอง 5G-Advanced เป็นครั้งแรกของอุตสาหกรรม สำหรับสายการผลิตนี้ 5G-Advanced จะรองรับการเชื่อมต่อเครือข่ายเชิงกำหนดที่ใช้งานพร้อมกัน ซึ่งช่วยให้เชื่อมพลังการประมวลผลระหว่างคลาวด์กับเอดจ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การเชื่อมต่อ IoT อย่างง่ายดาย
มีการเชื่อมต่อ IoT บนมือถือมากกว่าสามพันล้านครั้งทั่วโลก และตอนนี้ 5G รับบทบาทในการเชื่อมโยงสิ่งต่าง ๆ มากกว่าผู้คน ในอนาคตอันใกล้นี้ 5G จะรองรับเทคโนโลยี IoT ที่หลากหลายมากขึ้น เช่น RedCap และ Passive IoT ซึ่งจะมอบตัวเลือกเพิ่มเติมสำหรับรูปแบบการใช้งาน IoT ที่แตกต่างกันไป ช่วยให้การไหลเวียนของข้อมูลและสารสนเทศมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงพลังการประมวลผลเพิ่มมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ในอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน Passive IoT ช่วยให้มองเห็นห่วงโซ่การผลิตและการจัดจำหน่ายทั้งหมด และช่วยเพิ่มผลผลิตโดยรวมได้ถึง 30% ในการทดลองหลายครั้ง
รับประกันการประมวลผลอัจฉริยะทุกที่
ด้วยการพัฒนาใหม่ ๆ ในด้าน AI เช่น โมเดลพื้นฐาน ส่งผลให้ความต้องการพลังการประมวลผล AI เติบโตอย่างรวดเร็ว ภายในปี 2568 ความต้องการนี้คาดว่าจะมากกว่าระดับปัจจุบันถึง 100 เท่า ทั้งนี้ เพื่อปลดปล่อยพลังการประมวลผล AI อย่างเต็มศักยภาพ ความสามารถเพิ่มเติมของเครือข่ายขั้นสูงคือกุญแจสำคัญ โดยเครือข่ายจำเป็นต้องมีแบนด์วิดท์มากขึ้นและความหน่วงต่ำลงเพื่อสร้างการเชื่อมต่ออัจฉริยะอย่างแท้จริง นอกจากนี้ เมื่อรูปแบบการรับส่งข้อมูลเริ่มเปลี่ยนแปลงไป เครือข่ายในอนาคตจะต้องมีความเป็นอิสระและชาญฉลาดมากขึ้น เพื่อมอบประสบการณ์ที่เชื่อถือได้
ทั้งนี้ หัวเว่ยจัดการประชุมโกลบอล โมบายล์ บรอดแบนด์ ครั้งที่ 14 ในหัวข้อ "ผลักดัน 5.5G สู่ความเป็นจริง" (Bring 5.5G into Reality) ในระหว่างวันที่ 10-11 ตุลาคม ณ นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรในอุตสาหกรรมอย่าง จีเอสเอ็มเอ (GSMA), จีทีไอ (GTI) และสภาโทรคมนาคมซามีนา (SAMENA Telecommunications Council) เพื่อเจาะลึกเรื่องราวความสำเร็จของ 5G การเติบโตอย่างเต็มที่ของระบบนิเวศ การพัฒนา 5G-A/5.5G เชิงพาณิชย์อย่างรวดเร็ว และศักยภาพของเทคโนโลยีบรอดแบนด์มือถือในการกำหนดอนาคตและเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คนและอุตสาหกรรม สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.huawei.com/en/events/mbbf2023
รูปภาพ - https://mma.prnewswire.com/media/2243911/Li_Peng_Corporate_Senior_Vice_President_President_Carrier_BG_Huawei.jpg
รูปภาพ - https://mma.prnewswire.com/media/2243912/Li_Peng_shares_trends_shape_intelligent_digital_future.jpg
รูปภาพ - https://mma.prnewswire.com/media/2243913/Li_Peng_Huawei_s_Global_Mobile_Broadband_Forum_Dubai_UAE.jpg