นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เปิดเผยว่า ในช่วงสองเดือนสุดท้ายของปีนี้ สินทรัพย์ดิจิทัล โดยเฉพาะ "บิทคอยน์" กลายเป็นหนึ่งในสินทรัพย์การลงทุนที่น่าสนใจขึ้นมาจากการที่ ก.ล.ต.สหรัฐอเมริกา มีโอกาสสูงที่จะอนุมัติกองทุน ETF ของบิทคอยน์ ซึ่งจะทำให้เม็ดเงินจากนักลงทุนสถาบันไหลเข้ามาในสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นจำนวนมาก
ประกอบกับตลาดคาดการณ์ว่าจะเกิด Bitcoin Halving ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2024 จะเป็นแรงผลักดันราคาบิทคอยน์ โดยอ้างอิงจากสถิติที่ผ่านมา และยังได้แรงหนุนจากนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด ที่ใกล้จะผ่านจุดสูงสุดของการขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้า
ทั้งนี้มองระยะสั้น หากราคาบิทคอยน์ ปรับตัวลงมาทดสอบระดับ 31,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเคยเป็นแนวต้านสำคัญได้จะถือเป็นจุดซื้อที่น่าสนใจ แต่ยังต้องระวังแนวรับที่ 25,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หากราคาหลุดจากแนวรับนี้ให้ขายตัดขาดทุนก่อน เพราะแนวโน้มทางเทคนิคจะเป็นขาลง ส่วนแนวต้านที่เป็นเป้าหมายของการฟื้นตัวในรอบนี้จะอยู่ที่ระดับ 42,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยอาจจะเกิด Sell On Fact ถ้าหากมีการอนุมัติ Bitcoin ETF อย่างเป็นทางการ
"ถ้าหากไม่ต้องการลงทุนในบิทคอยน์โดยตรง ยังสามารถลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น ETF ที่ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีบล็อกเชน หรือ ถ้าเป็นหุ้นรายตัวก็จะเป็น Coinbase ซึ่งเป็น Exchange ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในสหรัฐฯ หรือ Block บริษัทฟินเทคที่เปิดให้สามารถทำธุรกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลได้"
นอกจากบิทคอยน์แล้ว "ทองคำ" เป็นอีกหนึ่งสินทรัพย์ที่สามารถลงทุนได้จากแนวโน้มของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มีโอกาสอ่อนค่าลง ประกอบกับสงครามในอิสราเอลรวมถึงยูเครนยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง โดยมองการปรับตัวลงของราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมาหลังจากขึ้นไปแตะระดับ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ถือเป็นโอกาสที่จะเข้าไปลงทุนได้ในระยะกลาง โดยแนวรับสำคัญอยู่ที่ระดับ 1,900 ดอลลาร์สหรัฐฯ ถ้าไม่หลุดจากระดับแนวรับนี้ราคายังคงเป็นขาขึ้น โดยมีเป้าหมายแนวต้านที่ระดับสูงกว่า 2,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ขึ้นไป
ส่วนตลาดหุ้น มองว่าหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ยังสามารถที่จะลงทุนได้ จากผลประกอบการในไตรมาสสามที่ส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาด และราคาหุ้นส่วนใหญ่ยังคงเป็นขาขึ้น ประกอบกับดัชนี NASDAQ ยังคงมีทิศทางขาขึ้น โดยมองภาพสำหรับการลงทุนเป็นระยะกลาง หุ้นเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้ามีความน่าสนใจ เนื่องจากราคาหุ้นมีการปรับตัวลงทั้งกลุ่มในช่วงที่ผ่านมา จากความกังวลเรื่องการแข่งขันที่สูงจนทำให้เกิดการตัดราคาขายมีผลต่ออัตรากำไร โดยเฉพาะ TESLA ที่ราคาหุ้นปรับตัวลงจากจุดสูงสุดถึง 25% และหุ้นรถยนต์ไฟฟ้าของจีนที่ปรับตัวลงตามภาวะตลาด
"แม้ว่าราคาหุ้นในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าจะลงจากความกังวลของนักลงทุน แต่ภาพรวมผลประกอบการที่ออกมาถือว่าทำได้ดี และแนวโน้มของความต้องการรถยนต์ไฟฟ้ายังเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงมองว่าการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้ารอบนี้เป็นโอกาสในการลงทุนระยะกลางขึ้นไป ไม่ว่าจะลงทุนในกองทุนรวม ETF หรือ หุ้นรายตัวที่เกี่ยวข้อง"
นายณพวีร์ กล่าวปิดท้ายว่า ภาพรวมของตลาดการลงทุนในช่วงสองเดือนสุดท้ายของปีนี้ ยังถือว่าไม่มีปัจจัยลบใหม่เข้ามารบกวนมากนัก เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังไม่ชัดเจนว่าจะเกิดภาวะถดถอย และยังมีการเติบโตอยู่ ส่วนราคาน้ำมันยังไม่สูงมากพอที่จะทำให้เกิดแรงกดดันเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตามทั้งตลาดหุ้นจีน เวียดนามรวมถึงตลาดหุ้นไทย แม้ว่าจะปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก แต่ยังไม่เห็นจุดกลับตัวเป็นขาขึ้น รวมถึงเศรษฐกิจยังไม่มีความแน่นอน จึงยังไม่ได้อยู่ในโฟกัสที่จะลงทุนช่วงสั้น แต่ให้จับจังหวะหากราคามีการฟื้นตัวกลับเป็นขาขึ้น ค่อยแบ่งเงินมาลงทุนบางส่วน
ที่มา: เมคอะเว็ลท์ คอนซัลติ้ง