WHA Group เสิร์ฟข่าวดี 3 เด้ง Q3/2566 ฟอร์มเด่น กำไรทะยาน 141% (YoY) ไฟเขียวจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.0669 บาทต่อหุ้น จ่อบุ๊กรายได้ ขายที่ดิน - ขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์ ปิดท้ายปี

ศุกร์ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๐๒๓ ๐๙:๑๒
บมจ. ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น ประกาศข่าวดี 3 เด้ง ฟอร์มเด่น โชว์งบไตรมาส 3/2566 บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไร 2,745 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 623 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 141% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) แบ่งเป็นรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ 2,706 ล้านบาท และกำไรปกติ 609 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 92% (YoY) จากการเติบโตของ 4 กลุ่มธุรกิจ ล่าสุด บอร์ดอนุมัติจ่ายปันผลระหว่างกาลปี 2566 ในอัตรา 0.0669 บาทต่อหุ้น จ่อขึ้น XD วันที่ 22 พฤศจิกายน 2566 และกำหนดการจ่ายเงิน วันที่ 8 ธันวาคม 2566 ด้าน Group CEO "จรีพร จารุกรสกุล" ส่งสัญญาณบวกตอกย้ำยอดขายที่ดิน 2,750 ไร่ตามเป้า ส่งซิก Q4 เติบโตต่อเนื่อง จากการรับรู้รายได้การขายที่ดินให้กับบริษัท ฉางอาน ออโต้ เซ้าท์อีส เอเชีย จำกัด หนึ่งในกลุ่มยานยนต์ชั้นนำ 4 กลุ่มของจีน จำนวน 250 ไร่ และรายได้การขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์ พร้อมยืนหนึ่งติดอันดับหุ้นยั่งยืน 4 ปีซ้อน ด้วย SET ESG Ratings ประจำปี 2566 สูงสุดที่ระดับ "AAA"

บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA Group รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/2566 มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรทั้งสิ้น 2,745 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% และกำไรสุทธิ 623 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 141% โดยเป็นรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ 2,706 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% และกำไรปกติ 609 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 92% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2565 (YoY)

ส่วนผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรทั้งสิ้น 8,434 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 2,012 ล้านบาท โดยหากพิจารณาถึงผลประกอบการปกติ บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ 8,277 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% และกำไรปกติ 1,932 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 100% (YoY)

ทั้งนี้ จากผลการดำเนินงานที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของสถานะทางการเงิน ส่งผลให้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลงวด 9 เดือน ในอัตราหุ้นละ 0.0669 บาท โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2566 และกำหนดการจ่ายเงินปันผล ในวันที่ 8 ธันวาคม 2566 ตามลำดับ สอดคล้องกับการจัดอันดับเครดิตองค์กรโดยทริสเรทติ้งที่ระดับ "A-" แนวโน้ม "คงที่" สะท้อนถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ยั่งยืน และแข็งแกร่ง ของ 4 กลุ่มธุรกิจหลักของบริษัทฯ ทั้งในประเทศ และเวียดนาม และแสดงถึงการมีศักยภาพในการบริหารทางการเงินที่ดี ส่งผลให้บริษัทฯมีฐานะทางการเงินที่มั่นคง ไม่ว่าจะเป็นการขายทรัพย์สินเข้ากองทรัสต์ รวมถึงความสามารถในการจัดหาแหล่งเงินทุนทั้งจากตลาดทุน และสถาบันการเงิน อาทิ การออกหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน มูลค่ารวม 1,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจในอนาคต

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) WHA Group เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปี 2566 เติบโตอย่างโดดเด่น ทั้งนี้เป็นผลจากการขับเคลื่อนของทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจ ทั้งโลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม สาธารณูปโภค (น้ำและไฟฟ้า) และธุรกิจดิจิทัล โซลูชัน ที่เติบโตสอดรับกระแสการย้าย/ ขยายฐานการลงทุนและฐานการผลิต ที่ดึงดูดการเข้ามาลงทุนแบบระยะยาว ส่งผลให้ภาคการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศกลับมาคึกคักอีกครั้ง สะท้อนถึงศักยภาพความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจของ WHA Group ภายใต้ภารกิจ Mission To The Sun เพื่อก้าวสู่การเป็น Technology Company ในปี 2567 และด้วยปัจจัยดังกล่าว ส่งผลเชิงบวกต่อผลประกอบการของ 4 กลุ่มธุรกิจ

ธุรกิจโลจิสติกส์ มีผลงานการดำเนินงานเติบโตอย่างโดดเด่น โดยจะมีการเซ็นสัญญาเช่ากับลูกค้ารายใหม่ ทั้งแบบระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงส่งมอบพื้นที่เช่าให้กับลูกค้าได้ตามแผนงานที่วางไว้ ทำให้โดย 9 เดือนแรก บริษัทฯ ได้มีการลงนามสัญญาเช่าโครงการ Built-to-Suit และโรงงาน / คลังสินค้าสำเร็จรูปเพิ่มเติมรวมทั้งสิ้น 81,196 ตารางเมตร ขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังมีสัญญาเช่าระยะสั้นที่ให้ผลตอบแทนสูงรวม 142,255 ตารางเมตร ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ทั้งปีที่ 100,000 ตารางเมตร โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีพื้นที่คลังสินค้าภายใต้การถือครองและบริหารทั้งหมด 2,845,132 ตารางเมตร อีกทั้งมีความต้องการเช่าพื้นที่คลังสินค้าคุณภาพสูงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ ไตรมาส 3 และ 9 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้จากธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ทั้งสิ้น 286 ล้านบาท และ 798 ล้านบาท ตามลำดับ

ทั้งนี้ภายหลังจากประสบความสำเร็จความต้องการเช่าพื้นที่คลังสินค้า/ ศูนย์กระจายสินค้าคุณภาพสูง ในโครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ เทพารักษ์ กม. 21 บนเนื้อที่รวมกว่า 400 ในโครงการ เฟส 1 ส่งผลให้ต้องเร่งพัฒนาโครงการเฟส 2 เพื่อรองรับความต้องการเช่าพื้นที่ที่ทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด บริษัท Webasto จำกัด บริษัทผู้จัดหาชิ้นส่วนยานยนต์รายใหญ่ ได้ลงนามในสัญญาเช่าอาคารคลังสินค้าแบบ Built-to-Suit ขนาดพื้นที่ 13,083 ตารางเมตร ในพื้นที่เฟส 2 นี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และยังมีกลุ่มลูกค้าอาทิ กลุ่มผู้ผลิต/ จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค และผู้ให้บริการโลจิสติกส์อีกหลายรายที่ยังอยู่ระหว่างการเจรจา ซึ่งบริษัทฯ คาดว่าลูกค้าจะทยอยลงนามในสัญญาเช่าได้ภายในปีนี้

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเตรียมพัฒนาโรงงานแบบ Built-to-Suit (ส่วนขยาย) ให้กับลูกค้าผู้ผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ภายในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ชลบุรี 1 เพื่อรองรับความต้องการโรงงานแบบ Built-to-Suit ที่เพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับโครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ กม. 23 (ขาเข้า) บนพื้นที่ให้เช่ารวม 46,000 ตารางเมตร ที่ได้รับกระแสตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างมาก โดยปัจจุบันมีลูกค้าที่ลงนามในสัญญาเช่าไปแล้ว อาทิ บริษัท ไดนาแพค โรด อีควิปเม้นท์ (ประเทศไทย) ผู้นำด้านการผลิตเครื่องจักรสำหรับงานก่อสร้างถนน ได้ลงนามในสัญญาเช่าในการพัฒนา Showroom สำหรับแสดงสินค้า แบบ Built-to-Suit เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะเดียวกันยังมีผู้ให้บริการโลจิสติกส์ และผู้จัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค ที่อยู่ระหว่างการเจรจาสนใจเช่าพื้นที่ในโครงการดังกล่าวอีกหลายราย

"บริษัทฯ ยังมุ่งมั่นพัฒนาโครงการอาคารสำนักงานที่ทันสมัยให้เช่า โดยปัจจุบันมีโครงการอาคารสำนักงานให้เช่าจำนวน 5 แห่ง บนพื้นที่รวมมากกว่า 120,000 ตารางเมตร และมีโครงการใหม่ ได้แก่ โครงการ Quant Sukhumvit 25 อาคารสำนักงาน 7 ชั้น พร้อมด้วยพื้นที่เพื่อการพาณิชยกรรม บนพื้นที่รวม 9,900 ตารางเมตร ตั้งอยู่ย่านสุขุมวิท-อโศก ซึ่งได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ และมีผู้เช่าเริ่มทยอยเข้าทำสัญญาและย้ายเข้าแล้ว นอกจากนี้ยังมีโครงการอาคารแบบ Mixed Use พื้นที่กว่า 3,000 ตารางเมตร ย่านธุรกิจใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าสุรศักดิ์ ซึ่งคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงต้นปี 2567 และโครงการ Medical Center แบบ Built-to-Suit พื้นที่กว่า 6,900 ตารางเมตร ที่ได้มีการลงนามในสัญญากับผู้เช่าและเริ่มก่อสร้างไปแล้วเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา"

WHA Group ยังคงมุ่งขยายการเติบโตให้ครอบคลุมทำเลยุทธศาสตร์สำคัญในประเทศ ควบคู่กับการแสวงหาโอกาสการลงทุนใหม่ๆ ในประเทศเวียดนาม โดยมีแผนพัฒนาโครงการคลังสินค้าให้เช่าแห่งแรกในประเทศเวียดนาม ขนาด 35,000 ตารางเมตร ตั้งอยู่ทางภาคเหนือของประเทศเวียดนาม ใกล้กับกรุงฮานอย คาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างให้กับลูกค้าภายในสิ้นปีนี้

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับแนวปฏิบัติเพื่อความยั่งยืนเข้ามาใช้ทั้งระบบ สะท้อนจากการพัฒนาโครงการอาคารสีเขียวแห่งแรก รวมถึงโครงการ Green Logistics ซึ่งเป็นแนวทางในการสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจโลจิสติกส์ที่จะนำไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ โดยล่าสุดบริษัทฯอยู่ระหว่างการเจรจากับกลุ่มผู้ให้บริการรถบรรทุกไฟฟ้า หรือ EV Truck หลายราย โดยคาดว่าจะสามารถทยอยลงนามในสัญญาเช่าได้ภายในปีนี้

สำหรับความคืบหน้าในการขายทรัพย์สิน และ/หรือ สิทธิการเช่าทรัพย์สินให้กับกองทรัสต์ WHART นั้น ล่าสุดผู้ถือหน่วยกองทรัสต์ WHART มีมติอนุมัติให้ทำการลงทุนทรัพย์สินเพิ่มเติมเรียบร้อยแล้ว โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายจำหน่ายทรัพย์สินประเภทคลังสินค้าพื้นที่เช่ารวมทั้งสิ้นประมาณ 142,583 ตารางเมตร เป็นมูลค่า 3,567 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ภายในไตรมาส 4/2566

ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม จากกระแสการย้ายฐานการลงทุนและฐานการผลิต ส่งผลให้ความต้องการใช้ที่ดินอุตสาหกรรมของนักลงทุนชาวต่างชาติเพิ่มขึ้น อันเป็นผลเชิงบวกต่อภาพรวมธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมของ WHA Group และจากปัจจัยดังกล่าวตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทย พร้อมเร่งการขยายธุรกิจในเวียดนามให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย 9 เดือนแรกปี 2566 บริษัทฯ มียอดขายที่ดินรวม 2,032 ไร่ (ไทย 1,617 ไร่ / เวียดนาม 415 ไร่) และยอด MOU รวม 991 ไร่ (ไทย 561 ไร่ / เวียดนาม 430 ไร่) สำหรับไตรมาส 3 และ 9 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้จากธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมรวมทั้งสิ้น 1,012 ล้านบาท และ 3,535 ล้านบาท ตามลำดับ

สำหรับยอดขายที่ดินที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นแบบกระโดดนั้น สอดคล้องกับทิศทางการลงทุนของประเทศไทยที่ได้รับอานิสงส์จากกระแสการย้ายฐานการลงทุนและฐานการผลิต (Relocation) เข้ามาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อันเป็นผลสืบเนื่องจากปัญหาความตึงเครียดจากสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ และปัญหาภูมิรัฐศาสตร์รอบโลก อาทิ ปัญหาสงครามระหว่างรัสเซีย - ยูเครน และสงครามอิสราเอล - ฮามาส เป็นต้น ส่งผลให้มีผู้ลงทุนจากต่างชาติ อาทิ จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน และสหรัฐฯ ย้ายฐานการลงทุนมาประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกัน ความต้องการในการขยายฐานการผลิต (Expansion) ก็มีส่วนช่วยดึงดูดการเข้ามาลงทุนแบบระยะยาว โดย ณ สิ้นไตรมาส 3/2566 บริษัทฯ มียอดขายที่รอการโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) ให้กับลูกค้ากว่า 1,493 ไร่ (ไทย 1,252 ไร่ / เวียดนาม 241 ไร่)

ปัจจุบัน WHA Group มีนิคมอุตสาหกรรมที่อยู่ระหว่างดำเนินการในประเทศไทย จำนวน 12 แห่ง ที่พร้อมรองรับความต้องการของนักลงทุน รวมถึงนิคมอุตสาหกรรม แห่งใหม่ ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล เอสเตท ระยอง เฟส 1 (1,100 ไร่) ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง โดยปัจจุบัน มีกลุ่มลูกค้าบางรายได้ลงนาม ในสัญญาซื้อขายที่ดินและ/ หรือทำการจองไปแล้ว อาทิ ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ และ ผู้ผลิต/จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค เป็นต้น โดยบริษัทฯ คาดว่า ภายในสิ้นปี 2566 จะมีลูกค้าลงนามในสัญญาซื้อขายที่ดินและ/ หรือทำการจองเป็นพื้นที่รวมกว่าครึ่งหนึ่งของพื้นที่ขายโครงการเฟส 1 ส่งผลให้ต้องเร่งดำเนินการพัฒนาเฟส 2 (1,100 ไร่) ในเร็วๆนี้ อีกทั้งยังมีเขตประกอบการอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ สระบุรี 2 (2,400 ไร่) ที่คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 2569 นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ขยายโครงการนิคมอุตสาหกรรมอีก 3 แห่ง ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 3 เฟส 3 พื้นที่ 630 ไร่ นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 พื้นที่ 480 ไร่ และนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 4 เฟส 3 พื้นที่ 330 ไร่

และล่าสุดบริษัทฯ ปิดดีลบิ๊กโปรเจค โดยลงนามในสัญญาซื้อขายที่ดินกับ บริษัท ฉางอาน ออโต้ เซ้าท์อีส เอเชีย จำกัด หนึ่งในกลุ่มยานยนต์ชั้นนำ 4 กลุ่มของจีน จำนวน 250 ไร่ ในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 4 ภายใต้การสนับสนุนจากบีโอไอในการลงทุนจัดตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยเพื่อสร้างโรงงานผลิตยานยนต์ไฟฟ้าพวงมาลัยขวา ทั้งประเภท BEV, PHEV, REEV (Range Extended EV) ด้วยกำลังการผลิตรถยนต์ 100,000 คันต่อปี และยังมีแผนจัดตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งดีลการขายที่ดินครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของประเทศไทยที่มากกว่าการเป็นฐานการผลิต อีกทั้งยังเป็นการต่อยอดสู่การจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนารถยนต์ในระยะต่อไปในอนาคตอีกด้วย

ด้านธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในประเทศเวียดนาม 9 เดือนแรก 2566 บริษัทฯ มียอดขายที่ดินรวม 415 ไร่ และยอด MOU รวม 430 ไร่ ซึ่งเป็นผลจากการเคลื่อนย้ายฐานทุนและเศรษฐกิจเวียดนามที่มีศักยภาพด้านการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ โดยปัจจุบัน บริษัทฯ มีเขตอุตสาหกรรมที่เปิดดำเนินการแล้ว 1 แห่ง ได้แก่ เขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ โซน 1-เหงะอาน ดำเนินการก่อสร้างเฟส 1 ขนาด 900 ไร่ โดยได้มีการขายพื้นที่ให้กับลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ การแปรรูปอาหาร วัสดุก่อสร้าง และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ไปแล้วกว่า 77% ของพื้นที่เฟส 1 และด้วยความต้องการที่ดินอุตสาหกรรมที่สูง บริษัทฯจึงเร่งดำเนินการก่อสร้างเฟส 2 พื้นที่ขนาด 2,215 ไร่ ซึ่งอยู่ระหว่างก่อสร้าง โดยขณะนี้ มีลูกค้ากลุ่มผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ของโลก ได้ลงนามในสัญญาเช่าที่ดินเพื่อพัฒนาโรงงานผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์หลากหลายประเภทบนพื้นที่ดินกว่า 300 ไร่เรียบร้อยแล้ว โดยช่วงไตรมาส 3/2556 ที่ผ่านมา มีบริษัทผู้ผลิตเลนส์กล้องและชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องให้แบรนด์มือถือรายใหญ่จากประเทศจีน ได้ลงนามในสัญญาจองพื้นที่ดินราว 260 ไร่ อีกทั้งยังมีลูกค้ากลุ่มผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อีกหลายรายที่ได้ลงนามในสัญญาจองพื้นที่ดินรวมกว่า 150 ไร่ เพื่อตั้งโรงงานผลิตภายในพื้นที่เขตประกอบการอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ 1-เหงะอาน เฟส 2 นี้ด้วยเช่นกัน

พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนการพัฒนาเขตอุตสาหกรรมอีก 2 แห่ง รวมพื้นที่ 20,950 ไร่ (3,350 เฮกตาร์) ประกอบด้วยเขตอุตสาหกรรม WHA Smart Technology Industrial Zone - Thanh Hoa พื้นที่ 5,320 ไร่ ที่เพิ่งได้รับการอนุมัติ Project Master Plan ให้ดำเนินโครงการ โดยมีกำหนดจะเริ่มดำเนินการก่อสร้าง ในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 และยังมีเขตอุตสาหกรรม WHA Smart Eco Industrial Zone - Quang Nam พื้นที่ 2,500 ไร่ ซึ่งคาดว่าจะได้รับการอนุมัติใบอนุญาตต่าง ๆ ในปี 2569 หรือ 2570 และจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างหลังจากได้รับการอนุมัติใบอนุญาต

"จากกระแสการย้ายฐานการลงทุนและฐานการผลิต อีกทั้งราคาขายที่ดินที่มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และความต้องการใช้ที่ดินนิคมอุตสาหกรรมของนักลงทุนชาวต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และผู้จัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่มากเป็นประวัติการณ์ บริษัทฯ คาดว่าจะสามารถเซ็นสัญญาซื้อขายที่ดินเพิ่มเติมได้ตามเป้าหมายการขายที่ดินจำนวน 2,750 ไร่ ที่ได้ประกาศไว้"

ธุรกิจสาธารณูปโภค (น้ำ) มีการเติบโตต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้จากธุรกิจสาธารณูปโภครวมในไตรมาส 3 และ 9 เดือนแรกของปี 2566 เท่ากับ 713 ล้านบาท และ 2,142 ล้านบาท บริษัทฯ มีปริมาณยอดขาย และบริหารน้ำทั้งในประเทศ และต่างประเทศรวมสำหรับไตรมาส 3 และ 9 เดือนแรกของปี 2566 เท่ากับ 41.4 ล้านลูกบาศก์เมตร และ 116.7 ล้านลูกบาศก์เมตร ตามลำดับ จากปริมาณยอดขายและบริหารน้ำทั้งในและต่างประเทศที่มีการเติบโตขึ้น

ทั้งนี้ ในไตรมาส 3/2566 มีปริมาณการจำหน่ายน้ำภายในประเทศ จำนวน 32.1 ล้านลูกบาศก์เมตร จากการเติบโตเพิ่มขึ้นของปริมาณยอดขายโดยรวมเติบโตขึ้นทุกผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์น้ำดิบ (Raw Water) และผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม (Value-Added Water) ที่เพิ่มขึ้นจากความต้องการใช้น้ำของลูกค้ากลุ่มพลังงาน ได้แก่ Gulf SRC, Gulf TS3 และ TS4 กอปรกับในไตรมาส 3/2566 โรงผลิตน้ำอุตสาหกรรมคุณภาพสูง (Premium Clarified Water) ได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ และเริ่มจำหน่ายน้ำให้แก่ลูกค้ารายใหญ่ในนิคมอุตสาหกรรม ดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 4 โดยมีปริมาณตามสัญญา 2.9 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี คิดเป็นมูลค่าตามสัญญารวมประมาณ 1,800 ล้านบาท

ขณะที่ปริมาณยอดขายและบริหารน้ำในประเทศเวียดนาม ปรับตัวเพิ่มขึ้นในไตรมาส 3 และ 9 เดือนแรกของปี 2566 จำนวน 9.2 และ 24.5 ล้านลูกบาศก์เมตร ตามลำดับ จากปริมาณการจำหน่ายน้ำของโครงการ Duong River ที่เติบโตขึ้นจากการขยายฐานลูกค้าใหม่ และความต้องการใช้น้ำของกลุ่มลูกค้าเดิมที่เพิ่มขึ้นตามการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศเวียดนาม จึงส่งผลให้บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากโครงการ Doung River ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 จำนวน 1.8 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 ที่รับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนอยู่ที่ 90.2 ล้านบาท และคาดว่ายอดจำหน่ายและบริหารจัดการน้ำเสียในประเทศเวียดนามจะเติบโตเพิ่มขึ้นอีก ตามความต้องการของลูกค้าที่ทยอยเปิดดำเนินการในเขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน เหงะอาน เฟส 1 และแผนการขยายธุรกิจสาธารณูปโภคควบคู่ไปกับการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมของบริษัทฯ ในประเทศเวียดนาม

ธุรกิจไฟฟ้า บริษัทฯ สามารถรับรู้ส่วนแบ่งกำไรปกติจากการดำเนินงานจากการลงทุนในบริษัทร่วมและบริษัทร่วมค้าไม่นับรวมกำไร/ขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยน และรายได้จากธุรกิจพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ในไตรมาส 3 และ 9 เดือนแรกของปี 2566 เท่ากับ 503 ล้านบาท และ 1,186 ล้านบาท ตามลำดับ เมื่อพิจารณาผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 3/2566 ส่วนแบ่งกำไรปกติจากธุรกิจไฟฟ้าปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรกลุ่มโรงไฟฟ้า SPPs เพิ่มขึ้น จาก Margin ที่ได้รับจากการจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมนั้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากค่า Ft ที่ได้มีการปรับเพิ่มขึ้นเพื่อสะท้อนต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่สูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ในขณะที่ต้นทุนก๊าซธรรมชาตินั้นมีแนวโน้มปรับลดลงต่อเนื่อง

สำหรับธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ในไตรมาส 3/2566 บริษัทฯ ได้ลงนามในสัญญาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มจำนวน 9 สัญญา โดยแบ่งเป็นโครงการ Private PPA จำนวน 6 สัญญา กำลังการผลิตรวมประมาณ 12 เมกะวัตต์ และโครงการ EPC Service จำนวน 3 สัญญา กำลังการผลิตรวมประมาณ 0.8 เมกะวัตต์ ส่งผลให้ ณ ไตรมาส 3/2566 บริษัทฯ มีจำนวนเซ็นสัญญาโครงการ Private PPA สะสมจำนวน 179 เมกะวัตต์ และมีกำลังการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ประมาณ 104 เมกะวัตต์ ส่งผลให้มีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมตามสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ที่ราว 730 เมกะวัตต์

"บริษัทฯ ยังคงมุ่งหน้าขยายโครงการติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้ลงนามในสัญญาร่วมกับ บริษัท ออโต้อัลลายแอนซ์ ประเทศไทย จำกัด หรือ AAT เพื่อติดตั้งโซล่าร์แบบลอยน้ำ (Solar Floating) กำลังการผลิตไฟฟ้าประมาณ 8 เมกะวัตต์ ซึ่งมีขนาด 60,000 ตารางเมตร โดยคาดว่าจะ COD ภายในช่วงไตรมาส 3 ปีหน้า และการติดตั้ง Solar Floating ดังกล่าวจะช่วยให้ AAT ได้ใช้พลังงานสะอาดและสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ถึง 5,400 ตันต่อปี"

ส่วนการลงทุนในโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ที่ได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ให้ได้สิทธิ์เป็นผู้พัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed in Tariff (FiT) เฟส 1 จำนวน 5 โครงการ มีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้น 125.4 เมกะวัตต์ อยู่ในกระบวนการเซ็นสัญญา PPA ซึ่งคาดว่าในช่วงต้นปี 2567 และกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (SCOD) ในช่วงปี 2572-2573

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะขยายธุรกิจพลังงานในประเทศไทย และเวียดนาม รวมถึงแสวงหาโอกาสตลาดใหม่ในประเทศอื่นๆ โดยเน้นที่โครงการพลังงานสะอาด พลังงานทดแทน ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงเน้นการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่มาปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งจะเห็นได้จากความสำเร็จจากความร่วมมือกับพันธมิตร บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และบริษัท เซอร์ทิส เอไอ เอ็นเนอร์จี จำกัด ภายใต้ บริษัทร่วมทุน "RENEX TECHNOLOGY" เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับการซื้อขายพลังงานไฟฟ้าโดยตรงระหว่างผู้ผลิตและผู้ใช้ไฟฟ้า (Peer-to-Peer) ด้วยเทคโนโลยี Blockchain ที่มีผู้ประกอบการสนใจเข้าร่วมเป็นผู้ซื้อขายพลังงานบนแพลตฟอร์มนี้แล้วกว่า 54 รายด้วยกัน

ธุรกิจดิจิทัล WHA Group ยังคงเดินหน้าภารกิจ "Mission To The Sun" ซึ่งมี 9 โครงการ เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ สู่การยกระดับการพัฒนาองค์กร และบุคลากรของบริษัทฯ มุ่งสู่การเป็น Technology Company ในปี 2567 โดยปัจจุบันมี 3 โครงการที่มีความคืบหน้าอย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม ได้แก่ Green Logistics เป็นการส่งเสริมการนำเทคโนโลยีสีเขียวมาปรับใช้กับกลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ เพื่อให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ของประเทศในระยะยาว นอกจากนั้นยังมีโครงการ Digital Health Tech การพัฒนาแอปพลิเคชันที่ช่วยให้สามารถจัดการสุขภาพแบบองค์รวม และโครงการ Circular Economy ที่ช่วยส่งเสริมการหมุนเวียนใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดในระบบนิเวศของบริษัทฯ อาทิ การจัดการขยะอุตสาหกรรมของโรงงานเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบของโรงงานอื่น หรือเพื่อป้อนให้กับโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม

และจากการมุ่งมั่นแผนขับเคลื่อนธุรกิจที่มีพัฒนาเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ส่งผลให้บริษัทฯได้รับการคัดเลือกเป็น 1 ใน บริษัทจดทะเบียนที่ได้รับการประกาศรายชื่อเป็นหุ้นยั่งยืน หรือ THSI (Thailand Sustainability Investment) เป็นระยะเวลาติดต่อกัน 3 ปีซ้อน ตั้งแต่ปี 2563-2565 เป็นการสะท้อนศักยภาพการดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างมั่นคงยั่งยืน ควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อม สังคม และยึดหลักธรรมาภิบาล (Environment, Social and Governance : ESG) ที่ดีมาโดยตลอด ล่าสุด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้เปลี่ยนชื่อ 'หุ้นยั่งยืน THSI (Thailand Sustainability Investment) เป็นหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings' โดย WHA Group ได้รับการประเมิน SET ESG Ratings ประจำปี 2566 ที่ระดับ "AAA" ซึ่งเป็นเรทติ้งระดับสูงสุด และนับเป็นการติดรายชื่อหุ้นยั่งยืน 4 ปี ติดต่อกัน แสดงให้เห็นถึงแนวคิดการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงการดำเนินงานด้านความยั่งยืน ทั้งในมิติการจัดการความเสี่ยงและโอกาส ศักยภาพในการแข่งขัน และการได้รับการยอมรับจากผู้มีส่วนได้เสีย ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับความสามารถในการเติบโตอย่างยั่งยืนของธุรกิจในระยะยาว

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคว้า 6 รางวัลนิคมอุตสาหกรรมที่ได้รับการรับรองเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ในงานสัมมนาวิชาการ Eco Innovation Forum 2023 ซึ่งเป็นงานสัมมนาวิชาการและแสดงนิทรรศการด้านนวัตกรรมสิ่งแวดล้อมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย จัดขึ้นโดยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ร่วมกับสถาบันน้ำและสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งรางวัลดังกล่าว การันตีความสำเร็จของนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ และตอกย้ำพันธกิจในการพัฒนาธุรกิจควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อม ร่วมสร้างสรรค์สังคมที่น่าอยู่บนรากฐานแห่งความยั่งยืน ภายใต้พันธสัญญา The Ultimate Solution for Sustainable Growth

และจากความสำเร็จในการออกหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน ครั้งที่ 2/2566 มูลค่าเสนอขายรวม 1,000 ล้านบาทในช่วงที่ผ่านมา สามารถตอบโจทย์ความสำเร็จจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่อย่างมาก เพราะเป็นการสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อบริษัทฯ สอดคล้องกับพันธกิจ "WHA: WE SHAPE THE FUTURE" ที่มุ่งมั่นในการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัทฯ ควบคู่กับการใส่ใจสิ่งแวดล้อม สังคม เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนต่อประเทศโดยรวม โดยเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ บริษัทฯ จะนำเงินไปชำระคืนหนี้เดิม และ/หรือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของบริษัทฯ

ที่มา: มีเดีย แพลนเนอร์ คอนซัลแทนท์

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๐ ธ.ค. ASMT ผนึก TFT ร่วมลงนามด้านวิชาการด้านอุตสาหกรรมการบิน
๒๐ ธ.ค. กรมวิชาการเกษตร เดินหน้า ถ่ายทอดองค์ความรู้การผลิตอะโวคาโดคุณภาพ สร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกรกว่า 2 แสนบาท/ไร่
๒๐ ธ.ค. Dow มุ่งพัฒนาประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ Personal Care ควบคู่ความยั่งยืน ตอบโจทย์ผู้บริโภคตลาดเครื่องสำอางในภูมิภาคเอเชีย
๒๐ ธ.ค. โอซีซี มอบความรู้ พัฒนาอาชีพให้ผู้ต้องขังหญิง
๒๐ ธ.ค. ดร.นุชนารถ ชลคงคา นำทีมสถาบัน ESTC จัดอบรมให้ Karmakamet
๒๐ ธ.ค. กนภ. เห็นชอบร่าง พรบ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลไกสำคัญสู่เส้นทางเศรษกิจคาร์บอนต่ำ และมีภูมิคุ้มกันฯ
๒๐ ธ.ค. WePlay x คอลแลบตัวละครสุดปัง! พบกับมินิเกมใหม่ และการ์ตูนสุดน่ารักที่คุณจะต้องหลงรัก
๒๐ ธ.ค. เดลต้า ประเทศไทย และ WEnergy Global ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อขับเคลื่อนอนาคตพลังงานสีเขียว
๒๐ ธ.ค. ความภาคภูมิใจของ ไลอ้อน กับ 3 รางวัลแห่งเกียรติยศ เผยผลงานโดดเด่นกับหลายรางวัลที่ได้รับในปี 2567
๒๐ ธ.ค. NOBLE คว้าเรทติ้งสูงสุด ระดับ AAA SET ESG Ratings ประจำปี 2567 ยกระดับองค์กรสู่ความยั่งยืนภายในแนวคิด Live Different ตามกรอบ