นายศิวพงศ์ บุญสาลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศักดิ์สยามลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SAK ผู้ให้บริการสินเชื่อรายย่อยภายใต้แบรนด์ 'ศักดิ์สยามลิสซิ่ง' เปิดเผยว่า บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการขยายพอร์ตสินเชื่อโดยรวมเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดย 9 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-กันยายน) อยู่ที่ 12,167.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.4% เป็นผลมาจากการขยายพอร์ตสินเชื่อหลากหลายที่ตอบสนองความต้องการของประชาชนมากขึ้น ทำให้มีรายได้จากการขายและการให้บริการจากบริษัทย่อยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการดำเนินธุรกิจจำหน่ายโดรนและให้บริการฉีดพ่น รวมถึงการการจำหน่ายและติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปที่เติบโต จึงมีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทฯร่วม ที่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ จำนวนสาขาของ SAK ที่เปิดให้บริการครบ 1,029 สาขาตั้งแต่ไตรมาสแรกของปีนี้ ทำให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุนกว้างขวางยิ่งขึ้น จึงขยายฐานลูกค้าใหม่มากขึ้น ส่งผลให้มีรายได้รวมในไตรมาส 3/2566 (กรกฎาคม-กันยายน) ทำได้ 710.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% และมีกำไรสุทธิ 186.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ มีรายได้รวมอยู่ที่ 2022.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% โดยมีกำไรสุทธิ 541.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.0% หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน สัดส่วน 81.6% ของพอร์ตสินเชื่อรวม สินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ สัดส่วน 10.5% ของพอร์ตสินเชื่อรวม สินเชื่อเช่าซื้อ สัดส่วน 4.7% ของพอร์ตสินเชื่อรวม สำหรับสินเชื่อส่วนบุคคลที่มิใช่สินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นหลักประกันและสินเชื่อที่ดิน สัดส่วน 3.2% ของพอร์ตสินเชื่อรวม สินเชื่อโซลาร์รูฟท็อป 37 ล้านบาท การบริหารควบคุมหนี้ NPLs อยู่ในระดับ 2.5% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม สะท้อนถึงคุณภาพพอร์ตลูกหนี้ที่ดีจากการบริหารติดตามเก็บหนี้อย่างใกล้ชิด
ส่วนทิศทางธุรกิจสินเชื่อในช่วงไตรมาส 4 คาดว่าแนวโน้มจะอยู่ในระดับทรงตัวใกล้เคียงกับไตรมาส 3 โดยบริษัทฯ วางแผนรุกธุรกิจตอกย้ำความมุ่งมั่นเป็นสินเชื่อเพื่อสังคมขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมอบสินเชื่อเพื่อเป็นฐานทุนให้กับประชาชน จึงเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์สินเชื่อโซลาร์ปั๊มเพื่อการเกษตรแบบครบวงจร ตอบสนองความต้องการของฐานลูกค้ากลุ่มเกษตรกร ดังนั้นมั่นใจว่าทั้งปีพอร์ตสินเชื่อแตะ 12,400 ล้านบาท ขณะเดียวกันการพิจารณาให้สินเชื่อของ SAK มีความรัดกุมยิ่งขึ้น โดยเน้นสินเชื่อที่มีหลักทรัพย์เป็นประกันเพื่อบริหารควบคุมหนี้ NPLs โดยรวมให้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม
ที่มา: เอ็ม ที มัลติมีเดีย