ธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์ Aeroflex มีรายได้จากการขาย 970 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 7.8% จากไตรมาสที่ผ่านมา โดยยอดขายในสหรัฐอเมริกายังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่องจากความต้องการสินค้าเกรดพรีเมี่ยมและสินค้ารุ่นใหม่สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรม Ultra Low Temperature Insulation และ ระบบ Air Ducting system ซึ่งได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างดี และยอดขายในประเทศยังคงปรับตัวดีขึ้นตามการลงทุนภาคเอกชน แม้ว่ายอดขายในอาเซียนปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากภาคเอกชนชะลอการลงทุน
ธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ ภายใต้แบรนด์ Aeroklas มีรายได้จากการขาย 1,701 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 17.6% จากไตรมาสที่ผ่านมา Aeroklas ได้รับคำสั่งซื้อจากค่ายยานยนต์อย่างต่อเนื่องรวมทั้งยอดส่งออกหลังคาครอบกระบะ (Canopy) ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและจากไตรมาสก่อน แต่ด้วยธุรกิจในออสเตรเลีย ยอดขายปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เริ่มปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อน เนื่องจากธุรกิจในออสเตรเลียยังคงเผชิญกับผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น และสภาพตลาดที่มีการแข่งขันสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม Aeroklas มุ่งเน้นผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ที่มีน้ำหนักเบาซึ่งเป็นที่ต้องการในอุตสาหกรรมยานยนต์เนื่องจากมีส่วนช่วยในการประหยัดพลังงาน และส่งเสริมกิจกรรมการขายสำหรับธุรกิจในออสเตรเลียอย่างต่อเนื่อง
ธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติก ภายใต้แบรนด์ EPP มีรายได้จากการขาย 629 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 1.7% จากไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจากยอดสั่งซื้อบรรจุภัณฑ์พลาสติกประเภทกล่องใส่อาหารชะลอตัวลง แต่บรรจุภัณฑ์ประเภทถ้วยน้ำดื่มเริ่มปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทยังเน้นการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย โดยเฉพาะกลุ่มบรรจุภัณฑ์ประเภทถ้วยน้ำดื่ม บริษัทอยู่ระหว่างดำเนินการปรับกลยุทธ์และกระบวนการผลิต และพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้นในอนาคต
บริษัทมีต้นทุนขายสินค้า ลดลง 0.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มธุรกิจฉนวนยางกันความร้อน/เย็น อีกทั้ง บริษัทได้จัดหาวัตถุดิบจากแหล่งผลิตในหลายประเทศเพื่อให้ต้นทุนเฉลี่ยจากราคาวัตถุดิบมีราคาเหมาะสม สำหรับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 1.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มาจากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารในออสเตรเลียเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่ค่าขนส่งของธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
นอกจากนี้ บริษัทได้รับส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้าที่ 170 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 93.7 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้าที่ 76.5 ล้านบาท มาจากการเพิ่มขึ้นของธุรกิจยานยนต์และธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น ทั้งในและต่างประเทศ
รศ.ดร.เฉลียว กล่าวต่อว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 10 พ.ย. 66 มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผล ระหว่างกาลสำหรับผลการดำเนินงานสิ้นสุด 30 ก.ย. 66 ในอัตราหุ้นละ 0.12 บาท (สิบสองสตางค์) รวมเป็นจำนวนเงิน ทั้งสิ้น 336 ล้านบาท โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่จะมีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) วันที่ 28 พ.ย.66 และ กำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 8 ธ.ค.66
ที่มา: เวิร์คลิ้งค์ ดาเอเจนซี่