KCG โชว์ท็อปฟอร์ม ไตรมาส 3/2566 กำไรสุทธิ 55.3 ล้านบาท เติบโต 10.5% สร้างผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกปีนี้

อังคาร ๑๔ พฤศจิกายน ๒๐๒๓ ๑๓:๐๙
KCG โชว์ท็อปฟอร์ม ไตรมาส 3/2566 กำไรสุทธิ 55.3 ล้านบาท เติบโต 10.5% สร้างผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกปีนี้ กวาดกำไรสุทธิพุ่ง 29.3% รุกไตรมาส 4 รับเทศกาลเฉลิมฉลอง ดันรายได้ตามเป้า

'บมจ.เคซีจี คอร์ปอเรชั่น' หรือ KCG เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2566 ทำกำไรสุทธิ 55.3 ล้านบาท เติบโต 10.5% และมียอดขาย 1,681.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หนุนผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกสร้างยอดขาย 4,949.9 ล้านบาท เติบโต 17.1% และมีกำไรสุทธิ 164.5 ล้านบาท เติบโต 29.3% โชว์ความสำเร็จทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์และทุกช่องทางการขายเติบโต เปิดแผนรุกตลาดไตรมาส 4 รับเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลอง ภาคการท่องเที่ยวคึกคักหนุนธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และผู้บริโภค ส่งผลดีมานด์ความต้องการผลิตภัณฑ์ชีส เนย เบเกอรี่ และบิสกิตพุ่งแรง มั่นใจปี 2566 เติบโตตามแผน

ดร.วาทิต ตมะวิโมกษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KCG ผู้นำธุรกิจผลิต จัดจำหน่าย และนำเข้าเนย ชีส และผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภคชั้นนำจากทั่วโลก เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2566 (กรกฎาคม - กันยายน 2566) บริษัทฯ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยมียอดขาย 1,681.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.9% และมีกำไรสุทธิ 55.3 ล้านบาท เติบโต 10.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยผลิตภัณฑ์อาหารตะวันตกและเบเกอรี่ในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์สามารถเติบโตได้ดี รวมถึงช่องทางการจำหน่ายให้ผู้ประกอบการ (B2B) ช่องทางการจำหน่ายให้ผู้บริโภค (B2C) และส่งออก ล้วนมีอัตราการขยายตัวที่ดี เนื่องจากความต้องการบริโภคผลิตภัณฑ์อาหารตะวันตกและเบเกอรี่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพและโภชนาการ อีกทั้งเป็นผลจากการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ในช่วงครึ่งปีแรกที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค

นขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 3/2566 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 29.9% โดยภาพรวมราคาต้นทุนวัตถุดิบและสินค้าเพื่อจำหน่ายทยอยปรับตัวลดลงนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา รวมถึงการบริหารจัดการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-กันยายน 2566) ทำกำไรสุทธิ 164.5 ล้านบาท เติบโต 29.3% และมีรายได้จากการขายอยู่ที่ 4,949.9 ล้านบาท เติบโต 17.1% เป็นผลจากการเติบโตของทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ แบ่งเป็น ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมมีรายได้ 2,951.5 ล้านบาท เติบโต 17.2% ผลิตภัณฑ์สำหรับการประกอบอาหารและเบเกอรี่ และผลิตภัณฑ์อื่นๆ มีรายได้ 1,482.6 ล้านบาท เติบโต 16.9% และผลิตภัณฑ์บิสกิตมีรายได้ 515.8 ล้านบาท เติบโต 17.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งความสำเร็จดังกล่าว ตอกย้ำถึงการเป็นผู้นำในการผลิตและนำเข้าเนย ชีส และอาหารสำเร็จรูปชั้นนำจากทั่วโลกได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ บริษัทฯ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีจากการจำหน่ายสินค้าในทุกช่องทาง โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 ช่องทางการจำหน่ายให้ผู้ประกอบการ (B2B) มีรายได้อยู่ที่ 2,088.0 ล้านบาท เติบโต 16.2% ช่องทางการจำหน่ายให้ผู้บริโภค (B2C) มีรายได้ 2,638.7 ล้านบาท เติบโต 17.9% และการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ มีรายได้อยู่ที่ 223.3 ล้านบาท เติบโต 16.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อีกทั้งยังมีปัจจัยสนับสนุนจากบริษัทย่อย ได้แก่ อินโดกูนา (ประเทศไทย) จำกัด หรือ IDG ซึ่งดำเนินธุรกิจนำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าประเภทอาหารแช่เข็ง เช่น เนื้อ ล็อบสเตอร์ และโคลคัท เข้ามาเสริมพอร์ตโฟลิโอของบริษัทฯ ให้มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากยิ่งขั้น ซึ่งช่วยผลักดันให้รายได้รวมเติบโตเพิ่มขึ้นเช่นกัน

ดร.วาทิต กล่าวว่า สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจไตรมาส 4 บริษัทฯ จะเพิ่มการผลิตสินค้าในกลุ่มเนยและชีส กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับการประกอบอาหารและเบเกอรี่ รวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์บิสกิต เพื่อรองรับความต้องการซื้อสินค้าในช่วงเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองปีใหม่ และรองรับการจับจ่ายใช้สอยจากภาคการท่องเที่ยว ธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร จัดเลี้ยง (HORECA) ที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้ความต้องการสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์เนย ชีสและผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปมาจากนม กลุ่มผลิตภัณฑ์ประกอบอาหารและเบเกอรี่ รวมทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์บิสกิต (Biscuits) เพิ่มขึ้นตามไปด้วย อันจะช่วยผลักดันอุตสาหกรรมอาหารตะวันและเบเกอรี่ให้เติบโต ในขณะที่ในปีนี้แนวโน้มราคาวัตถุดิบยังคงมีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทฯ มั่นใจว่าผลการดำเนินงานในปี 2566 จะสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมาย

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้เดินหน้าขยายกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์ชีสในรูปแบบห่อเดี่ยว (Individually Wrapped Processed Cheese Slices: IWS) เพิ่มจาก 2,106 ตัน เป็น 4,212 ตันต่อปี เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งจะสามารถรองรับการเติบโตได้อีก 3-5 ปีข้างหน้า โดย IWS เป็นผลิตภัณฑ์ที่ตลาดมีความต้องการในการบริโภคสูง รวมถึงบริษัทฯ สามารถสร้างการบริโภคในรูปแบบใหม่ๆ ได้อย่างหลากหลาย ซึ่งจะเป็นส่วนสนับสนุนยอดขายของบริษัทฯ ให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนความคืบหน้าศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้า KCG Logistics Park กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างจำนวน 6 อาคาร ประกอบด้วย อาคารจัดเก็บและศูนย์สินค้าแบบแช่แข็ง (Frozen) จำนวน 2 อาคาร อาคารจัดเก็บและศูนย์สินค้าแบบอุณหภูมิห้อง (Ambient) จำนวน 3 อาคาร และอาคารจัดเก็บวัตถุดิบแป้งและน้ำตาล จำนวน 1 อาคาร โดยคาดว่าอาคาร Ambient จะแล้วเสร็จและพร้อมใช้งานได้ในไตรมาส 1/2567 และจะเสร็จสมบูรณ์ทั้งโครงการในช่วงไตรมาส 2/2567 ซึ่งจะช่วยให้สามารถบริหารจัดการสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมถึงช่วยลดค่าใช้จ่ายการเช่าคลังสินค้าภายนอกได้อย่างมีนัยสำคัญในอนาคต

ที่มา: เอ็ม ที มัลติมีเดีย

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๐ ธ.ค. ASMT ผนึก TFT ร่วมลงนามด้านวิชาการด้านอุตสาหกรรมการบิน
๒๐ ธ.ค. กรมวิชาการเกษตร เดินหน้า ถ่ายทอดองค์ความรู้การผลิตอะโวคาโดคุณภาพ สร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกรกว่า 2 แสนบาท/ไร่
๒๐ ธ.ค. Dow มุ่งพัฒนาประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ Personal Care ควบคู่ความยั่งยืน ตอบโจทย์ผู้บริโภคตลาดเครื่องสำอางในภูมิภาคเอเชีย
๒๐ ธ.ค. โอซีซี มอบความรู้ พัฒนาอาชีพให้ผู้ต้องขังหญิง
๒๐ ธ.ค. ดร.นุชนารถ ชลคงคา นำทีมสถาบัน ESTC จัดอบรมให้ Karmakamet
๒๐ ธ.ค. กนภ. เห็นชอบร่าง พรบ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลไกสำคัญสู่เส้นทางเศรษกิจคาร์บอนต่ำ และมีภูมิคุ้มกันฯ
๒๐ ธ.ค. WePlay x คอลแลบตัวละครสุดปัง! พบกับมินิเกมใหม่ และการ์ตูนสุดน่ารักที่คุณจะต้องหลงรัก
๒๐ ธ.ค. เดลต้า ประเทศไทย และ WEnergy Global ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อขับเคลื่อนอนาคตพลังงานสีเขียว
๒๐ ธ.ค. ความภาคภูมิใจของ ไลอ้อน กับ 3 รางวัลแห่งเกียรติยศ เผยผลงานโดดเด่นกับหลายรางวัลที่ได้รับในปี 2567
๒๐ ธ.ค. NOBLE คว้าเรทติ้งสูงสุด ระดับ AAA SET ESG Ratings ประจำปี 2567 ยกระดับองค์กรสู่ความยั่งยืนภายในแนวคิด Live Different ตามกรอบ