ในงานสัมมนาครั้งนี้ นายกฤช ปิ่มหทัยวุฒิ หัวหน้าแผนกและผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการลงทุน บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ JLL พร้อมผู้บริหารขององค์กร ได้วิเคราะห์สถานการณ์เชิงลึกเกี่ยวกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย โดยเปิดเผยว่า สำหรับปี 2024 เทรนด์ที่น่าจับตามองในด้านการลงทุน แบ่งเป็น ด้านอสังหาริมทรัพย์ ที่พักอาศัย การบริการของโรงแรม โลจิสติกส์ และอุตสาหกรรม การค้าปลีก รวมถึงอาคารสำนักงาน
ส่วนภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2024 มีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดศูนย์การค้า โรงแรม และ คอนโดมิเนียมกลุ่มลักชัวรี แม้ว่าจะเผชิญกับความท้าทายด้านเศรษฐกิจ ภาวะเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องทั้งในไทยและต่างประเทศ และส่งผลกระทบโดยตรงกับผู้ซื้อและนักลงทุนตลาดอสังหาริมทรัพย์ทุกระดับก็ตาม
ท่ามกลางความท้าทายในระดับมหภาค JLL เห็นสัญญาณที่ดีจากนักลงทุนต่างชาติกลุ่มใหม่ๆ ในตลาดคอนโดมิเนียมบางกลุ่ม รวมถึงการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวที่ช่วยส่งเสริมตลาดศูนย์การค้าและตลาดโรงแรมในกรุงเทพมหานคร การขยายตัวของการบริโภคในครัวเรือน และการลงทุนในพื้นที่เขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ตลาดคลังสินค้าให้เช่ายังคงมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีในอนาคตอันใกล้
นอกจากนี้ยังเห็นความเคลื่อนไหวในฝั่งผู้เช่าที่ความต้องการพื้นที่เช่าสำนักงานคุณภาพสูง และทันสมัย ตอบโจทย์ความต้องการของพนักงาน การทำงานรูปแบบใหม่ที่เน้นเรื่องของ ESG อย่างไรก็ตามจะเห็นว่าซัพพลายจำนวนมากเข้าสู่ตลาดในช่วง 12 เดือนข้างหน้านี้ ซึ่งจะทำให้การแข่งขันในตลาดอสังหาริมทรัพย์เข้มข้นยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน
ทั้งนี้เทรนด์ที่จะเป็นต้องจับตามอง ได้แก่ การเติบโตของประชากรเมือง นวัตกรรมและเทคโนโลยีในภาคอสังหาริมทรัพย์ การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่คำนึงถึงความยั่งยืน และแนวโน้มการเติบโตของภาคการท่องเที่ยวในช่วงฤดูท่องเที่ยวที่กำลังจะมาถึง ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ ต่อเนื่องไปยังการขยายตัวของเศรษฐกิจในปี 2024
สำหรับการสัมมนาครั้งนี้ถือเป็นเวทีที่ทำให้นักลงทุนเข้าใจตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทย เพื่อเพิ่มโอกาสในการลงทุนได้ดีขึ้น ช่วยให้การตัดสินใจการลงทุนได้อย่างถูกต้องและชาญฉลาด อีกทั้งยังช่วยยกระดับการแลกเปลี่ยนความร่วมมือระหว่างจีน - ไทย ที่จะช่วยส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจของ ทั้งสองประเทศในอนาคตต่อไป
ที่มา: At All In One