BBLAM ตระหนักและเห็นความสำคัญกับการเติบโตอย่างยั่งยืน จึงกำหนดทิศทางและเป้าหมายของการทำธุรกิจที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (ESG) เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน และโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับลูกค้า ตลอดจนเกิดประโยชน์กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder) เพราะเชื่อว่าการลงทุนในบริษัทที่คำนึงถึง ESG และให้ความสำคัญด้านความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจอย่างจริงจัง จะให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
"ขณะนี้ เราเตรียมความพร้อมในการเสนอขายกองทุน Thai ESG ในช่วงเดือน ธ.ค. 2566 ซึ่งถือว่าเป็นจังหวะที่เหมาะสม เพราะดัชนีหุ้นไทยได้ปรับตัวลงมามากแล้ว อยู่ระดับ 1,400 จุด เป็นโอกาสที่นักลงทุนจะได้ลงทุนในหุ้นในราคาที่น่าสนใจ และหากมองไประยะข้างหน้า คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปีหน้าจะเติบโตได้ดีกว่าในปีนี้ จากภาคส่งออกและงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลที่มีผลบังคับใช้ ทั้งยังมีความหวังจากรัฐบาลที่จะกระตุ้นให้เกิดการลงทุน เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวและเสริมว่า กองทุน B-TOP-THAIESG นี้ จะเน้นลงทุนหุ้น ESG 10 ตัวที่ผู้จัดการกองทุนคาดหมายให้ผลตอบแทนรวมสูงสุด โดยพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานและการเข้าไปมีส่วนร่วมอย่างแข็งแกรงกับบริษัทจดทะเบียนนั้น มุ่งหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงองค์กรและการดำเนินการที่เป็นประโยชน์ต่อกองทุน ลดความเสี่ยงด้านความไม่ยั่งยืน และส่งผลต่อผลการดำเนินงานที่สร้างผลตอบแทนในระยะยาวที่ยั่งยืนให้กับผู้ลงทุน
สำหรับนโยบายการลงทุน และวัตถุประสงค์การลงทุนที่เกี่ยวกับความยั่งยืน กองทุนจะลงทุนในหุ้นของบริษัท จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และหรือตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ที่ได้รับการคัดเลือกจาก SET หรือองค์กรหรือสถาบันอื่นที่สำนักงาน ก.ล.ต.ยอมรับว่ามีความโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) หรือด้านความยั่งยืน (Environmental Social and Governance: ESG) โดยผ่านกระบวนการวิเคราะห์การลงทุนแบบ ESG Integration ซึ่งผู้จัดการกองทุนคาดหมายว่าจะให้ผลตอบแทนรวมสูงสุด 10 อันดับแรก โดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ทั้งนี้ ในระหว่างที่มีการเปลี่ยนแปลงการลงทุนในหุ้นของบริษัท 10 อันดับแรก จำนวนหลักทรัพย์ดังกล่าวจะไม่เกิน 12 บริษัท
นายวศิน วัฒนวรกิจกุล กรรมการผู้จัดการ Head of Business Distribution กล่าวว่า BBLAM ยังคงเดินหน้าส่งเสริมการลงทุนระยะยาวอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ลงทุน ทั้งสร้างความยั่งยืนให้กับตลาดทุนโดยรวมในระยะยาว ล่าสุด เตรียมเปิดเสนอขาย กองทุนรวมบัวหลวงทศพลไทยเพื่อความยั่งยืน หรือ B-TOP-THAIESG ครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 8-15 ธันวาคม 2566 นี้ โดยเป็นกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน ที่จะทำให้คนไทยมีความสุขมากขึ้น และสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้เพิ่มขึ้นสูงสุด 100,000 บาท ตามเงื่อนไขภาษีที่กรมสรรพากรกำหนด
สำหรับ กองทุน ThaiESG กำหนดให้มีระยะเวลาถือครองหน่วยลงทุน 8 ปีนับจากวันที่ซื้อ และสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ 30% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท อย่างไรก็ดี การตั้งกองทุน ThaiESG เป็นการจัดตั้งกองทุนขึ้นมาเพิ่มเติม ทำให้ปีนี้ผู้ลงทุนได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติมอีก 100,000 บาท จากเดิมที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจาก RMF (กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ) และกองทุน SSF (กองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว) ที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีรวมกันได้สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท (นับรวมกองทุนกลุ่มเพื่อการเกษียณทั้งหมด เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ)
ผู้ที่สนใจลงทุนในกองทุน B-TOP-THAIESG สามารถสอบถามข้อมูลกองทุน ได้ที่ BBLAM โทร. 02-674-6488 กด 8 หรือผู้สนับสนุนการขายหรือรับซื้อคืนที่ได้รับการแต่งตั้ง และสำหรับการลงทุนผ่านช่องทางธนาคารกรุงเทพ กองทุนนี้สามารถชำระผ่านบัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพได้ตั้งแต่วันที่ 8 ถึงสิ้นเดือนธันวาคม 2566 ได้อีกด้วย
ผู้ลงทุนต้องศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า ข้อมูลสำคัญ นโยบายการลงทุน เงื่อนไข ผลตอบแทน
ความเสี่ยง และสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุในคู่มือการลงทุน THAIESG ก่อนการตัดสินใจลงทุน
ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
ที่มา: บลจ.บัวหลวง