นายณวัฒน์ อิสรไกรศีล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MGI กล่าวว่า ผมต้องขอขอบคุณผู้ลงทุนทุกท่านที่ไว้วางใจหุ้นน้องใหม่ MGI ทำให้การเสนอขายหุ้น IPO ของบริษัทในครั้งนี้ ประสบความสำเร็จตั้งแต่วันแรกที่เปิดจองซื้อ และได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม การเข้าจดทะเบียนในตลาด mai ครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจ และยังเป็นการเปิดโอกาสให้นักลงทุนและประชาชนทั่วไปได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการต่อยอดความสำเร็จของ MGI ด้วยวิสัยทัศน์ขององค์กร มุ่งมั่นก้าวสู่ผู้นำในอุตสาหกรรมนางงามโลก โดยส่งมอบประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่ให้กับทุกคนบนโลกผ่านความงาม ความบันเทิง และการค้า ซึ่งสอดคล้องกับสโลแกนของบริษัท "นับจากนี้ทุกพื้นที่มีแต่แกรนด์ - We Are Grand The One and Only"
ด้วยความแข็งแกร่งของ MGI ซึ่งจะเป็นบริษัทแรกในประเทศไทยและในตลาดโลกที่นำเวทีนางงามเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ได้สำเร็จ แต่นางงามไม่ใช่จุดยืนเดียวของบริษัท แต่เป็นจุดเริ่มต้นในการต่อยอดโอกาสทางธุรกิจมากมาย โดยธุรกิจการประกวดนางงามเป็นเพียง 1 ใน 4 กิจกรรมที่ทำรายได้ให้ MGI และเป็นบริษัทแรกที่มีเครือข่าย 77 เวที 77 จังหวัดในประเทศไทย พร้อมด้วยการขายลิขสิทธิ์ไปยังต่างประเทศอีกราว 90 ประเทศทั่วโลก ธุรกิจนางงามจึงสามารถสร้างรายได้และโอกาสมหาศาลในการต่อยอดไปสู่ธุรกิจพาณิชย์ (commerce) การจัดจำหน่ายสินค้าภายใต้ตราสินค้าของบริษัทฯ และนำเสนอจากศิลปินที่มีชื่อเสียงของเราเอง ทำให้สามารถบริหารต้นทุนได้ในระดับต่ำ แต่สร้างกำไรได้ค่อนข้างสูง และการต่อยอดมายังธุรกิจด้านเอ็นเตอร์เทนเมนท์ ซึ่งสิ่งที่เราทำบนพื้นฐานของความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ คุณภาพ และคำนึงถึงความสุขของทุกคน
ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้งวด 9 เดือนแรกของปี 2566 มาจากธุรกิจพาณิชย์ 40.86%, ธุรกิจประกวดนางงามมิสแกรนด์ 12.63%, ธุรกิจสื่อและบันเทิง 19.06%, ธุรกิจบริหารจัดการศิลปิน 23.12%, รายได้ค่าเช่าช่วง MGI Hall 3.51% และรายได้อื่น 0.82% โดยบริษัทฯ จะมุ่งเน้นธุรกิจพาณิชย์ซึ่งมีการเติบโตสูง
นายธวัทชัย แพร่แสงเอี่ยม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่าย บริษัท มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MGI เปิดเผยว่า หลังจากเปิดขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 60 ล้านหุ้น คิดเป็น 28.57% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด ระหว่างวันที่ 4 ธันวาคม และ 6-7 ธันวาคม 2566 ผลปรากฏว่า หุ้นน้องใหม่ MGI ได้รับความสนใจจากนักลงทุนจำนวนมากตั้งแต่วันแรกที่เปิดจองซื้อ
แสดงถึงความเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจของ MGI ที่มีศักยภาพการเติบโตสูง สอดคล้องกับกระแสความสนใจหุ้นของ MGI ภายหลังนำเสนอข้อมูล (Roadshow) ให้กับนักลงทุน และคาดว่า MGI จะเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ mai วันที่ 14 ธันวาคม 2566 ในหมวดธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค
โดยแผนการใช้เงินภายหลังจากการระดมทุนครั้งนี้ MGI จะนำเงินที่ได้ไปใช้ในการต่อยอดการเติบโตของธุรกิจอย่างโดดเด่น โดยจะนำไปใช้ลงทุนปรับปรุงตกแต่งอาคารรองรับการขยายงาน จำนวนเงินที่ใช้ประมาณ 40 ล้านบาท ลงทุนพัฒนาผลิตภัณฑ์สินค้า และผลิตรายการ เพื่อเพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้ในอีกหลากหลายช่องทาง จำนวนเงินที่ใช้ประมาณ 50 ล้านบาท นำไปลงทุนพัฒนาขีดความสามารถของระบบสารสนเทศ จำนวนที่ใช้ราว 20 ล้านบาท และส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน จะยิ่งช่วยเสริมศักยภาพในการขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้ MGI เป็นอีกหุ้นคุณภาพ ที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม
นายวรชาติ ทวยเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MGI กล่าวว่า จุดเด่นของ MGI มีความแข็งแกร่งจากผู้บริหารเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งเวที MGI และ MGT จนเป็น 1 ใน 5 เวทีประกวด Grand Slam ระดับโลก และเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ มีความเข้าใจ และความเชี่ยวชาญในธุรกิจประกวดนางงาม ทั้งนี้ จากการที่บริษัทฯ เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ MGI และ MGT จึงสามารถสร้างรายได้จากการขายลิขสิทธิ์ รวมถึงต่อยอดไปยังธุรกิจอื่น ประกอบด้วยธุรกิจนางงาม ธุรกิจพาณิชย์ ธุรกิจสื่อและบันเทิง และบริหารศิลปิน สร้าง Synergy การเติบโตไปพร้อมๆ กัน นอกจากนี้ บริษัทฯ มีการพัฒนาขีดความสามารถของระบบสารสนเทศอย่างต่อเนื่องเพื่อใช้รวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์การสั่งซื้อสินค้าและบริการของกลุ่มฐานลูกค้าเพื่อนำไปใช้ในการวางแผนการตลาดให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี และรวดเร็วที่สุด
อย่างไรก็ดี MGI มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีสภาพคล่องกระแสเงินสดค่อนข้างสูง ใช้แหล่งเงินทุนจากส่วนของเจ้าของทั้งหมด ไม่มีภาระเงินกู้จากสถาบันการเงิน และมีอัตรา D/E ในระดับต่ำเพียง 0.77 เท่า สำหรับผลการดำเนินงานของ MGI ในปี 2565 บริษัทมีรายได้รวม 319.86 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 47.85 ล้านบาท ส่วนผลประกอบการในงวด 9 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทมีรายได้รวม 428.93 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 77.13 ล้านบาท เทียบกับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 มีรายได้รวม 218.68 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 36.58 ล้านบาท การกำหนดราคาไอพีโอ ที่ 4.95 บาท ถือเป็นการกำหนดราคาที่เหมาะสม
ที่มา: ไออาร์ พลัส