ราช กรุ๊ป รุกธุรกิจในออสเตรเลีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ เล็งขยายลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าทั้งกรีนฟิลด์และแบบซื้อกิจการ สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

พุธ ๑๓ ธันวาคม ๒๐๒๓ ๑๔:๓๖
นนทบุรี- บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เดินหน้าธุรกิจสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยปีนี้มุ่งพัฒนาและลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าที่มีอยู่แล้วและโครงการใหม่ ในออสเตรเลีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ เป็นหลัก ขณะเดียวกันก็มีการขยายธุรกิจนอกภาคผลิตไฟฟ้า และธุรกิจเชื้อเพลิงอนาคต เช่น เชื้อเพลิงไฮโดรเจน ปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างเจรจาเพื่อร่วมลงทุนในลงทุน 2 โครงการ ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้ แนวทางดังกล่าวนี้จะทำให้บริษัทฯ มีกระแสเงินสดและรายได้สม่ำเสมอและมั่นคงยิ่งขึ้น

นางสาวชูศรี เกียรติขจรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าแผนการลงทุนธุรกิจไฟฟ้าในออสเตรเลีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อย่างต่อเนื่อง โดยมีการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการโรงไฟฟ้าใหม่และพัฒนาโครงการที่มีอยู่ในพอร์ตการลงทุน ซึ่งดำเนินการแล้วกว่า 10 โครงการ นอกจากนี้ ยังเน้นการบริหารโครงการโรงไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้างให้แล้วเสร็จและเดินเครื่องได้ทันกำหนดเวลาตามที่สัญญาระบุไว้ โดยมีกำลังผลิตตามสัดส่วนลงทุนรวม 2,918.23 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 2567 - 2576 สำหรับในปี 2567 บริษัทฯ จะมีกำลังการผลิตเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้นอีก 459 เมกะวัตต์ จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมหินกอง ชุดที่ 1 กำลังผลิตตามสัดส่วนลงทุน 392.70 เมกะวัตต์ โครงการโรงไฟฟ้าอาร์อีเอ็น โครงการโรงไฟฟ้าสหโคเจนใหม่ และโครงการโรงผลิตไฟฟ้านวนครส่วนขยายระยะที่ 3 สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าหินกอง ชุดที่ 1 ซึ่งบริษัทฯ รับรู้กำลังผลิตตามสัดส่วนลงทุน 392.70 เมกะวัตต์ มีกำหนดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในเดือนมีนาคม 2567 ปัจจุบัน ได้ดำเนินการจัดหาเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติเหลว ผ่านทางบริษัท หินกองเพาเวอร์โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งได้ลงนามสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลว ระยะเวลา 3 ปี กับบริษัท Gunvor Singapore Pte. Ltd. โดยจะมีการส่งมอบในปริมาณปีละ 0.5 ล้านตัน และการส่งมอบครั้งแรกจะดำเนินการในเดือนมีนาคม 2567

"ประเทศออสเตรเลีย ถือเป็นฐานธุรกิจด้านพลังงานทดแทนที่สำคัญ โดยมีบริษัท ราช-ออสเตรเลีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาและลงทุน บริษัทฯ เล็งเห็นศักยภาพและโอกาสที่จะขยายการลงทุนด้านพลังงานทดแทนและการพัฒนาธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการเสริมความเชื่อถือและความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในช่วงที่ออสเตรเลียกำลังจะเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานไปสู่เป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593 บริษัทฯ ศึกษาเพื่อพัฒนาโครงการที่จะสนับสนุนยุทธศาสตร์ด้านพลังงานสะอาดและความมั่นคงระบบไฟฟ้าของออสเตรเลีย ซึ่งถือเป็นธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพมาก โดยมีแนวคิดยกระดับสินทรัพย์โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติเพื่อให้บริการผลิตไฟฟ้าเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาและคาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็ว ๆ นี้ นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ 152 เมกะวัตต์ ร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน 81 เมกะวัตต์ ในรัฐนิวส์เซาท์เวลส์ ศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงการพลังงานลมขนาดใหญ่ ประมาณ 120 เมกะวัตต์ ในรัฐควีนส์แลนด์ ตลอดจนการพัฒนาระบบกักเก็บพลังงานขนาด 100 เมกะวัตต์ เพื่อกักเก็บพลังงานไฟฟ้าจากแหล่งผลิตพลังงานทดแทนและจำหน่ายผ่านระบบสายส่ง ส่วนเวียดนาม บริษัทฯ ได้ศึกษาศักยภาพและโอกาสการลงทุนจากจากแผนพัฒนาพลังงานแห่งชาติฉบับที่ 8 ซึ่งมีเป้าหมายที่จะเพิ่มกำลังการผลิตถึง 150 กิกะวัตต์ โดยร้อยละ 40 จะเป็นพลังงานทดแทน ปัจจุบัน บริษัทฯ ได้ดำเนินการผ่านบริษัทร่วมทุนในการขยายฐานธุรกิจโดยมีการศึกษาและพัฒนาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม อีกทั้งยังมีแผนที่จะเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าที่ดำเนินการแล้วเช่นกัน สำหรับฟิลิปปินส์ บริษัทฯ มุ่งเน้นการพัฒนาโครงการที่มีอยู่แล้ว ได้แก่ โครงการพลังงานแสงอาทิตย์เนโกรส ซึ่งคาดว่าจะสามารถดำเนินการก่อสร้างได้ในปี 2567 โครงการพลังงานลมนอกชายฝั่ง ในอ่าวซานมิเกล และโครงการพลังงานลมนอกชายฝั่งลูเซียน่า บนเกาะลูซอน ซึ่งคาดว่าจะสามารถเข้าสู่ขั้นตอนก่อสร้างได้ในปี 2568 บริษัทฯ เชื่อมั่นว่า แผนงานดังกล่าวจะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตและสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงแก่ผู้ถือหุ้น ผู้มีส่วนได้เสีย ตลอดจนสร้างสรรค์ประโยชน์สู่สังคม และสิ่งแวดล้อมในระยะยาว" นางสาวชูศรี กล่าว

สำหรับ แนวโน้มในอนาคต บริษัทฯ ยังคงยึดธุรกิจผลิตไฟฟ้าเป็นธุรกิจหลักในการสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยการพัฒนาธุรกิจและลงทุน จะมุ่งขับเคลื่อนโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาในเวียดนาม ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย พร้อมทั้งจะขยายไปสู่ตลาดแห่งใหม่ โดยเน้นประเทศที่พัฒนาแล้ว และให้น้ำหนักการลงทุนทั้งแบบกรีนฟิลด์และการซื้อกิจการให้มีความสมดุลเพื่อบริหารกระแสเงินสดและรายได้ของบริษัทฯ โดยบริษัทฯ มุ่งหมายที่จะเพิ่มกำลังการผลิตปีละไม่น้อยกว่า 700 เมกะวัตต์ ส่วนการบริหารโครงการและสินทรัพย์ เน้นการบริหารงบประมาณโครงการและก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามกำหนดเวลาของสัญญา รวมทั้งจัดการประสิทธิภาพและต้นทุนการผลิตของโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องด้วย นอกจากนี้ยังจะให้ความสำคัญกับการบริหารกระแสเงินสด ต้นทุนและค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้เป้าหมาย EBITDA เติบโตถึง 12,000 ล้านบาท

ที่มา: ราช กรุ๊ป

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๐ ธ.ค. ASMT ผนึก TFT ร่วมลงนามด้านวิชาการด้านอุตสาหกรรมการบิน
๒๐ ธ.ค. กรมวิชาการเกษตร เดินหน้า ถ่ายทอดองค์ความรู้การผลิตอะโวคาโดคุณภาพ สร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกรกว่า 2 แสนบาท/ไร่
๒๐ ธ.ค. Dow มุ่งพัฒนาประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ Personal Care ควบคู่ความยั่งยืน ตอบโจทย์ผู้บริโภคตลาดเครื่องสำอางในภูมิภาคเอเชีย
๒๐ ธ.ค. โอซีซี มอบความรู้ พัฒนาอาชีพให้ผู้ต้องขังหญิง
๒๐ ธ.ค. ดร.นุชนารถ ชลคงคา นำทีมสถาบัน ESTC จัดอบรมให้ Karmakamet
๒๐ ธ.ค. กนภ. เห็นชอบร่าง พรบ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลไกสำคัญสู่เส้นทางเศรษกิจคาร์บอนต่ำ และมีภูมิคุ้มกันฯ
๒๐ ธ.ค. WePlay x คอลแลบตัวละครสุดปัง! พบกับมินิเกมใหม่ และการ์ตูนสุดน่ารักที่คุณจะต้องหลงรัก
๒๐ ธ.ค. เดลต้า ประเทศไทย และ WEnergy Global ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อขับเคลื่อนอนาคตพลังงานสีเขียว
๒๐ ธ.ค. ความภาคภูมิใจของ ไลอ้อน กับ 3 รางวัลแห่งเกียรติยศ เผยผลงานโดดเด่นกับหลายรางวัลที่ได้รับในปี 2567
๒๐ ธ.ค. NOBLE คว้าเรทติ้งสูงสุด ระดับ AAA SET ESG Ratings ประจำปี 2567 ยกระดับองค์กรสู่ความยั่งยืนภายในแนวคิด Live Different ตามกรอบ